หลวงปู่ภูเสกตะกรุด เพ่งมองฟ้า ย่อตัวเล็กเท่ารูกุญแจ

หลวงปู่ภู วัดอินทร์ มีศิษย์ใกล้ชิดหลวงปู่เล่าให้ฟังว่า จำได้ว่าวันนั้นเป็นวันเสาร์ไม่ต้องไปทำงาน จึงรีบออกจากบ้านไปวัดอินทร์ฯเพื่อปรนนิบัติหลวงปู่แต่เช้า เมื่อไปถึงหลวงปู่ฉันจังหันเช้าเสร็จแล้ว เห็นท่านครองผ้าสังฆาฏิมีผ้ารัดอกอย่างเรียบร้อย จึงถามท่านว่า… “หลวงปู่เดินไม่ค่อยไหว วันนี้มีงานอะไรทางวัดหรือครับ จึงครองผ้าอย่างนั้น”

หลวงปู่ภู วัดอินทร์

ท่านตอบว่า “อ้าย… กูรักมึง กูจะไปโบสถ์ไปทำของสำคัญให้มึง กูรู้ว่าถ้ากูตายมึงจะไม่ได้ และใครก็ทำไม่ได้เหมือนกู เอ้า มาประคองกูคนละข้างกับอ้ายยิ่ง(หมอนวดประจำ) กูจะไปโบสถ์” ท่านผู้นั้นจึงเข้าประคองท่านเดินไปโบสถ์ พอถึงหน้าโบสถ์ห่างประมาณ ๔-๕ วา ท่านก็หยุดและพูดว่า
“มึงปล่อยกูได้แล้ว กูยืนได้ มึงไม่ต้องจับ รอบ ๆ โบสถ์หญ้าขึ้นรกทั้งนั้น คนเรานี่บัดซบจริง ขี้เกียจก็เท่านั้น อ้ายพวกเด็กวัดมึงสองคนนี่แหละ ดีแล้ว ไปช่วยกันถอนหญ้า”

ศิษย์ผู้นั้นพร้อมกับนายยิ่ง กลัวท่านดุ ก็ค่อย ๆ ปล่อยมือที่ประคองท่าน แล้วรีบไปถอนหญ้าตามคำสั่ง ก้มหน้าก้มตาถอนจนเกลี้ยง เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วก็มายังที่ได้ปล่อยท่านไว้ แต่ต้องตกใจอย่างมาก เพราะไม่ปรากฏว่าหลวงปู่ยืนอยู่ที่เดิม

ทั้งสองคนแยกกันค้นหารอบบริเวณโบสถ์ พร้อมกับตะโกนเรียกท่าน เกรงว่าท่านจะเป็นลมหรือไปล้มอยู่ ณ ที่ใด เที่ยวหาจนอ่อนใจก็ไม่พบ จึงมานั่งอยู่หน้าโบสถ์ ครู่หนึ่งได้ยินเสียงประตูโบสถ์ซึ่งใส่กุญแจลั่น เหมือนมีคนดึงบานประตู จึงตะโกนถาม ได้ยินเสียงหัวเราะและเสียงหลวงปู่ตอบว่า “กูอยู่นี่ไงล่ะ อ้ายโง่” เมื่อได้ยินเสียงหลวงปู่ ทั้งสองคนจึงไขกุญแจเข้าไป เห็นหลวงปู่นั่งอยู่จึงถามว่า “ลุกกุญแจไขกุญแจโบสถ์อยู่ที่ผมนี่ ทำไมหลวงปู่เข้าโบสถ์ได้ล่ะครับ” ท่านหัวเราะแล้วเอามือชี้ที่รูดานโบสถ์ซึ่งมีขนาดเท่าหัวแม่มือ แล้วพูดว่า “อ้ายโง่ มึงมันโง่ กูเข้าทางนี้ อ้ายโง่” เมื่อท่านพูดแล้วก็นิ่งไม่พูดอะไรอีก นอกจากค่อยกระเถิบออกมาจากภายในโบสถ์ ออกมานั่งที่ชานหน้าโบสถ์

หลวงปู่ภู วัดอินทร์

ศิษย์ทั้งสองประหลาดใจมากที่หลวงปู่เข้าไปในโบสถ์ได้ โดยประตูโบสถ์ไม่ลั่นกุญแจ แม้จะเขี่ยกลอนทางรูด้านในก็ไม่อาจเข้าไปได้ เพราะยังมีกุญแจดอกใหญ่อีกดอกหนึ่งใส่อยู่ หน้าต่างก็ลั่นดานทุกบาน ถึงแม้จะมีหน้าต่างเปิดอยู่ หลวงปู่ก็ไม่อาจปีนเข้าทางหน้าต่างได้ เพราะหน้าต่างสูง เพียงแต่หลวงปู่เดินไปไหนมาไหนก็ต้องมีคนประคองสองข้างอยู่แล้ว

เมื่อหลวงปู่กระเถิบออกมาที่ชานหน้าโบสถ์แล้ว ท่านก็หยิบแผ่นเงินที่จะทำตะกรุดออกมาวางบนกลักบุหรี่ทองเหลืองสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่ท่านถือมาด้วย แล้วท่านมองดูฟ้าเพ่งอยู่นาน เมื่อเมฆลอยมาบรรจบกันครั้งหนึ่ง ท่านก็ลงอักขระตัวหนึ่ง ทำอย่างนี้อยู่หลายชั่วโมง จึงหยุด แล้วเอาตะปู(หลวงปู่ไม่ใช้เหล็กจาร แต่ใช้ตะปูขนาดสี่นิ้วจาร)ตัวที่ลงนั้น วางกดลงบนแผ่นเงิน บริกรรมแล้วจึงม้วนตะกรุด แล้วหันหน้าสู่พระประธานในโบสถ์ ยกมือขึ้น ๆ ลง ๆ ๓ ครั้ง แล้วหันมาทางศิษย์พูดว่า

“เอ้า มาเอา พุทธะสิทธิ ธัมมะสิทธิ สังฆะสิทธิ ประสิทธิเมฯ เอาติดตัวไว้ให้ดี ทำลำบาก ของสูง ของสำคัญจริง กูไม่รักไม่สงสารมึงกูไม่ถ่อร่างมาทำให้มึงให้ป่วยการ แล้วอย่าติดเก้งจนเมียมึงมาด่ากูถึงวัดก็แล้วกัน อ้ายสัตว์ตากำ”

หลวงปู่ชอบด่าว่า “อ้ายสัตว์ตากำ” กับคำว่า “อ้ายโง่” จนติดปาก

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน บางเรื่องอาจเป็นความเชื่อส่วนบุคคล

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น คลิกอ่าน นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า