สวัสดีจ้าวันนี้ เรื่องเล่าชาวสยาม จะพาทุกคนมาศึกษาเรื่องเล่า ประวัติศาสตร์ตำนาน อภินิหารพระเกจิ ความลี้ลับ ไสยศาสตร์ เพราะในประเทศไทยของเรานั้น ต่างก็มีจุดเด่นทางความเชื่อและมีสถานที่ท่องเที่ยวทางศาสนาแหล่งรวมประวัติศาสตร์ที่มีผู้คนสนใจเป็นจำนวนมาก วันนี้เราขอมานำเสนอเรื่องเล่าพระอาจารย์โหพัฒน์ มาให้อ่านเพื่อศึกษากัน ติดตามรับชมกันได้เลย
หากกล่าวถึง ท่านพระอาจารย์โหพัฒน์ ท่านเป็นพระญวนเมื่อท่านวัยได้ 11 ขวบ ท่านได้มาบวชเป็นสามเณรอยู่ที่วัดถาวรวราราม เมืองกาญจน์ เมื่ออายุครบ 20 ปี จึงได้อุปสมบท ณ พัทธสีมาวัดถาวรวราราม โดยมีหลวงพ่อเทียม เป็นพระอุปัชฌาย์ และได้รับฉายาว่า “โหพัฒน์” ต่อมาภายหลังท่านได้ย้ายไปอยู่ ณ วัดมงคลสมาคม ถนนแปลงนาม เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ ขณะนั้นมีพระครูคณานัมสมณาจารย์ (เหมิกโงน) เป็นเจ้าอาาสอยู่ เมื่อเจ้าอาวาสท่านได้มรณภาพลงไปแล้ว พระอาจาร์ยโหพัฒน์จึงได้ย้ายไปอยู่ ณ วัดอุภัยราชบำรุง เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพฯ
สุตํ ปญฺญาย วฑฺฒนํ : การฟัง ทำให้ปัญญาเพิ่มพูน
ต่อมาเมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 พ.ศ.2487 ท่านได้มาพำนักอยู่ ณ วัดถ้ำเขาน้อย อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี ยุคเดียวกับพระอารย์ย๊ากเหมิง แต่ท่านพระอาจารย์โหพัฒน์ ได้อยู่ที่วัดถ้ำเขาน้อย ได้ระยะหนึ่งไม่นานนัก ท่านได้ไปพำนักที่วัดสงฆ์จีน ทางภาคใต้ จังหวัดยะลา ต่อมาภายหลังท่านได้กลับมาอยู่ที่โรงเจ “เข่งซิ่วตั๊ว” ตลาดท่าเรือ อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี
โรงเจเข่งซิ่วตั๊ว สันนิฐานว่าน่าจะมีการก่อสร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 เท็จจริงอย่างไรไม่เป็นที่ปรากฎ แต่มีการเล่าต่อกันมาว่า เส้นทางหน้า โรงเจ เข่งซิ่วต๊ว เตยเป็นเส้นทางของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวฯ (รัชกาลที่ 5) เมื่อครั้งพระองค์เสด็จประพาสไทรโยค และได้เสด็จมาขึ้นเรือที่ท่าเทียบเรือตลาดบน และเสด็จผ่านทางหน้าโรงเจแห่งนี้ ซึ่งเป็นช่วงเทศกาลกินเจพอดี เพื่อไปนมัสการพระแท่นดงรัง
พระอาจารย์โหพัฒน์หมั่นเจริญภาวนาจนมีความสามารถพิเศษ มีตาทิพย์ หูทิพย์ รู้เห็นเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้ (ตามที่ลูกศิษย์ท่านได้เล่าให้ฟัง) โดยมีลูกศิษย์ชื่อ นายเมือง ได้เล่าให้ฟังว่า มีพระธุดงค์เดินทางมาจากจังหวัดเพชรบุรี โดยใช้เกวียนเดินทางมา และเมื่อมาถึงบริเวณตีนเขาวัดถ้ำเขาน้อย พระธุดงค์ได้ขึ้นไปพบพระอาจารย์โหพัฒน์ และได้มีการพูดคุยกัน และในระหว่างนั้นพระธุดงค์รูปนั้นได้ถามพระอาจารย์โหพัฒน์ เกี่ยวกับเรื่องที่จะปรับปรุงซ่อมแซมวัด
ดังนั้นพระอาจารย์โหพัฒน์ก็ได้นั่งสมาธิและหลับตา และบอกกับพระธุดงค์รูปนั้นว่าวัดของท่านหันหน้าไปทางทิศเหนือใช่ไหม และทางด้านหน้าวัดมีต้นไม้ใหญ่อยู่ตรงหน้าวัดใช่ไหม และอีกหลายเรื่องที่ท่านได้ถามพระธุดงค์รูปนั้นไป พระธุดงค์รูปนั้นถึงกับพูดออกมาว่า ท่านเคยไปวัดนั้นมาหรือ ถึงได้รู้ว่า วัดที่อาตมาพูดเป็นลักษณะเช่นไร พระธุดงค์รูปนั้นยิ่งเลื่อมใสในตัวของท่านพระอาจารย์โหพัฒน์มากยิ่งขึ้น และท่านพระอาจารย์โหพัฒน์ ยังสามารถถอดจิตออกจากร่างได้ ในการนี้โดยท่านได้ถอดจิตมาพูดคุยกับพระอาจาร์ย๊ากเหมิง ในบริเวณถ้ำพระ บนถ้ำเขาน้อยในเวลากลางคืน ซึ่งสิ่งที่ท่านทำได้นี้ก็เนื่องมาจากการบำเพ็ญเพียรเจริญภาวนาสมาธิ อยู่เป็นประจำ และท่านอาจารย์โหพัฒน์ท่านฉันอาหารเจวันละ 1 มื้อ ท่านอยู่ในห้องเล็ก ๆ บำเพ็ญเพียร ไม่ค่อยพูดกับใคร ในช่วงบำเพ็ญเพียรภาวนาท่านพระอาจารย์โหพัฒน์มีความเพียรพยายามในการบำเพ็ญเพียรภาวนาและรักษาศีลได้ดี
ท่านยังเป็นที่เคารพสักการะของชาวบ้านละแวกท่าเรือ โดยเฉพาะในสมัยก่อนนั้น ไม่มีโรงพยาบาล ห่างไกลจากสถานที่ราชการ เมื่อประชาชนขาดที่พึ่งก็จะไปหาท่านอาจารย์ซึ่งก็ท่านได้ปัดเป่าให้ ทำให้คนในท่าเรือเกิดความเลื่อมใสจนกลายเป็นความรักและสามัคคีกันในหมู่บ้าน ถึงขนาดเปรียบท่านเป็น “เทพเจ้า” ของคนท่าเรือ ต่อมาท่านอาจารย์ได้มรณภาพลงเมื่อ ปี พ.ศ.2493 ด้วยอายุเพียง 46 ปี (35 พรรษา) ประชาชนทั่วไปจึงได้เก็บร่างท่านไว้เพื่อรอการฌาปนกิจเป็นเวลา 3 ปี เมื่อครบกำหนดจึงทำพิธีเปิดโลงปรากฎว่าร่างของท่านไม่เน่าเปื่อยได้แต่แห้งลงไป ประชาชนจึงพร้อมใจกันนำร่างของท่านมาลงรักเก็บไว้และได้อัญเชิญองค์ท่าน ขึ้นประดิษฐาน ณ โรงเจ เข่งซิ่วต๊วเพื่อให้ลูกหลานได้สักการะสืบต่อไป
เป็นยังไงกันบ้างกับหลากหลายเรื่องราวที่เล่าต่อกันมาของตำนานพระอาจารย์โหพัฒน์ บทความนี้นำมาเผยแพร่เพื่อศึกษาเผยแผ่บารมีเป็นสังฆบูชา และเทิดทูนเกียรติบุคคลคุณครูบาอาจารย์ทุกท่านผู้มีพระคุณ ทั้งนี้โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน บางเรื่องอาจเป็นความเชื่อส่วนบุคคล