เมื่อครั้งที่หลวงปู่ภู วัดอินทร์ ท่านได้จำพรรษาอยู่ที่วัดท้ายตลาด(วัดโมลีโลกยาราม) ท่านอยู่ที่หอไตร เพราะเป็นที่สะดวกในการทำกิจทางศาสนา ครั้นหลังจากฉันเช้าแล้ว ท่านจะนั่งสมาธิหันหน้าเข้าหาพระพุทธรูปบนหอไตรนั้น แลด้านหลังของท่านมักจะเอาหมอนมารองไว้ให้พอดีกับศีรษะ หากเมื่อเวลาหงายหลังลงจะได้ไม่ถูกพื้นกระดาน การที่ต้องทำเช่นนี้เพราะเมื่อท่านนั่งบำเพ็ญเพียรสมณธรรมดังกล่าว พอถึงเวลาเที่ยงวัน พระอาทิตย์ตรงศีรษะ ท่านจะหงายหลังทุกครั้งไป
ระหว่างจำพรรษาอยู่ที่หอไตร ท่านไม่เคยไปพูดคุยเสวนาวิสาสะกับพระภิกษุหรือสามเณรรูปใด เพราะพระภิกษุเหล่านั้นมักเล่นเตะตะกร้อกันบ้าง หมากรุกบ้าง พูดจาตลกคะนองบ้าง ไม่สมกับสมณะ ก็แลพระภิกษุสามเณร แลเด็กวัดเหล่านั้น เห็นท่านนั่งอยู่ด้วยอาการสงบ ก็เลยคะนองปาก พูดจาล้อเลียนแลทำกิริยาล้อเลียนท่านต่าง ๆ เช่นพูดว่า
“เอ๊ะ หลวงตาหายไปไหน ?” (ล้อเลียนว่าท่านหายตัวได้)
“วันนี้ เห็นรัศมีหลวงตา”
“หลวงตาองค์นี้คงจะเหนียว ยิงไม่ออกฟันไม่เข้า”
ท่านเล่าให้ศิษย์ฟังว่า วันหนึ่งท่านเกิดอารมณ์ไม่พอใจขึ้นมา ซึ่งท่านสั่งสอนศิษย์นักหนาให้ระงับความโกรธเพราะเป็นสิ่งไม่ดี ท่านได้เคยเรียนวิชาจากอาจารย์พม่ามาอย่างหนึ่ง แต่ไม่เคยทดลอง เพราะเห็นว่าเป็นบาป วันนั้นท่านจึงอธิษฐานจิตขออภัยแก่เจ้าของวิชา และตั้งจิตว่าจะทำครั้งนี้เพื่อเป็นการทดลองว่า วิชาที่เล่าเรียนมาเป็นของจริงหรือไม่ จึงเอากระดาษว่าวมาลงอักขระลงชื่อพระเณรที่ชอบล้อเลียนท่าน แล้วเอาน้ำตาเทียนจากหน้าพระประธานขวั้นเป็นเทียน โดยเอากระดาษว่าวที่มีชื่อพระเณรเป็นไส้เทียน จุดแล้วบริกรรมตามกรรมวิธีที่ได้เล่าเรียนมา
“พอสิบโมงเท่านั้นแหละมึงเอ๋ย ทั้งพระทั้งเณรวัดท้ายตลาดเตะต่อยตีกันเป็นพัลวัน กูจึงดับเทียน บริกรรมขอขมาลาโทษ กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้ครูบาอาจารย์เจ้าของตำราเขา และขอตั้งสัตย์ปฏิญาณไว้ว่า ต่อไปกูจะถวายชีวิตกับพระ จะละโทสจริตให้สิ้นเชิง เสร็จแล้วเวลากูลงสรงน้ำที่แม่น้ำ กูก็เอาตำราเล่มนั้นผูกเข้ากับเทียนเล่มนั้น เอาหินประกับ แล้วอธิษฐานอโหสิกรรม โยนตำราลงที่กลางแม่น้ำ”ท่านพูดต่อไปว่า “ของโบราณน่ะเขาจริงนะมึง เว้นไว้แต่มึงเท่านั้นไม่จริงกับของเขาเอง สิ่งที่มึงปรารถนาจึงไม่สมหวัง”
ขอบคุณข้อมูลจากคุณ คุณเฉลียว จันทรทรัพย์
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน บางเรื่องอาจเป็นความเชื่อส่วนบุคคล