“ครูบาชัยยะวงศา”ลูกศิษย์ครูบาศรีวิชัย สอนวิธีทำบุญเพียงน้อยนิดกลับได้อานิสงส์มากมายแบบนี้

หากเอ่ยถึง “ครูบาชัยยะวงศา”  ท่านเป็นพระอริยสงฆ์อีกรูปหนึ่งของแผ่นดินธรรมท่านเป็นศิษย์ของครูบาเจ้าศรีวิชัยตนบุญผู้ยิ่งใหญ่ท่านมีเมตตามากโดยเฉพาะคนไทยและคนกระเหรี่ยงภาคเหนือตอนบนรู้จักท่านดี เรื่องที่จะเล่านี้เป็นเมตตาธรรมจากครูบาชัยยะวงศา มีชื่อเรื่องว่า “ทำบุญ สอง สลึง ทำให้แผ่นดินไหว “

ครูบาชัยยะวงศา

ในอดีตกาล ล่วงมาแล้ว สมัยองค์พระผู้มีพระภาคเจ้ายังทรงพระชนม์ชีพ มีพระยาเจ้าเมือง เมืองหนึ่ง มีใจศรัทธาปรารถนาจะถวายผ้ากฐินเป็นทาน จึงได้ ป่าวประกาศไปทั่ว บ้านเมืองเพื่อเชิญชวนให้ชาวเมืองได้ร่วมทำบุญในครั้งนี้ ข่าวทราบถึง มหาเศรษฐี สองคนผัวเมีย มีเงินทองอยู่ ๘๘ โกฏิ เขาทั้งสองเกิดความศรัทธาปิติยินดี ในกองบุญกฐินนั้น จึงตั้งใจที่จะร่วมถวายทานผ้ากฐินตกกลางคืนมาสองผัวเมียก็มาคิดว่า ตัวเรานี้ มีข้าวของมากมาย แต่ไม่มีอันใดเลย ที่หามาด้วย น้ำพักน้ำแรงของตน มีแต่ใช้คนอื่นหามา มัน จะเกิดอานิสงส์แก่เรามากไหมหนอ

เมื่อคิดอย่างนั้น ผู้เป็นผัวจึงชวนเมียว่าพรุ่งนี้เช้าเราพากันไปเกี่ยวหญ้ามาขาย เอาเงินที่ได้ด้วยน้ำพักน้ำแรงเราไปทำบุญ มันจักได้บุญมากผู้เป็นเมียจึงตอบตกลง พอรุ่งเช้าก็พากันถือเคียวเที่ยวเกี่ยวหญ้า กลางแดดร้อนได้ หญ้ามาสามมัด จึงเอามาสางเอามาล้างเเล้วมอบให้คนใช้นำไปขายให้คนเลี้ยงม้า ได้เงินมาสามสลึงจึงมอบให้คนใช้สลึงหนึ่ง ผัวเอาสลึงหนึ่ง เมียได้ สลึงหนึ่ง สองคนผัวเมียได้เงินสองสลึงแล้ว จึงพากันนำเงินนั้นมาชำระล้าง ด้วยน้ำอบน้ำหอม ตั้งจิตอธิษฐานยกเงินขึ้นเหนือหัว แล้วตั้งสัจจะอธิษฐาน ด้วยความปิติยินดี แล้วคิดว่านี่เเหละ คือเงินที่ได้มาด้วยน้ำพักน้ำแรงของเรา เราจะได้บุญมาก

ยานิ โสตานิ โลกสฺมึ สติ เตสํ นิวารณํ โสตานํ สํวรํ พฺรูมิ ปญฺญาเยเต ปิถิยฺยเร. กระแสเหล่าใด : มีอยู่ในโลก สติเป็นเครื่องกั้นกระแสเหล่านั้น เรากล่าวว่าสติเป็นเครื่องกั้นกระแส กระแสเหล่านั้น อันบุคคลปิดกั้นได้ด้วยปัญญา

ครูบาชัยยะวงศา

จากนั้นสองคนผัวเมียมหาเศรษฐี จึงเดินทางไปที่บ้านของพระยาเจ้าเมือง พอไปถึงก็เดินเข้าไปในบ้าน ไปหยุดตรงที่เขาตั้งขัน รับบริจาคทานบุญกฐินไว้ เขาจึงพากันหย่อนเงินลง “แก๊ก แก๊ก ” แล้วก็เดินออกไป พอพระยาเจ้าเมืองเห็นจึงเดินมาดูในขัน เห็นเงินอยู่สองสลึง จึงเกิดโทสะโกรธขึ้น เป็นฟืนเป็นไฟ “ว่า ไอ้อี สองคนนี้มันเป็นถึงมหาเศรษฐีมีข้าวของ ๘๘ โกฏิ มาตระหนี่ ดูถูกดูแคลนกู กูตั้งกองบุญกฐิน เอาเงินมาร่วมนิดเดียวจึงหยิบ เงินคว้างทิ้งลงพื้นกระเด็นไปตกข้างกำแพง

พอถึงเวลาพระยาเจ้าเมืองและบริวารชาวบ้านชาวเมืองจึงพากันแห่ผ้ากฐินเข้าไปสู่อาราม เพื่อจะถวายพระพุทธเจ้า ครานั้นแผ่นดินไหวสนั่นไปทั่ว บังเกิดต้นกัลปพฤกษ์ อกขึ้นตรงที่เงินสองสลึงตกอยู่ พระยาเจ้าเมืองดีใจ ว่า กูนี้เป็นผู้มีบุญมาก ทำบุญกฐินแผ่นดินพอไหว ต้นไม้กัลปพฤกษ์พองอก จึงวิ่งเข้าไปหมายจักหยิบเงินทองข้าวของที่ห้อยอยู่บนกิ่งกัลปพฤกษ์ แต่เข้าไปไม่ถึงเกิดร้อนขึ้น นัยตาแทบแตกใครก็เข้าไม่ถึงมีแต่สองคนผัวเมียมหาเศรษฐี เท่านั้นที่เข้าไปได้ และนำต้นกัลปพฤกษ์ มาวางบนฝ่ามือได้พอดี

ครูบาชัยยะวงศา

เมื่อนั้น องค์พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า “เหตุที่แผ่นดินไหวและต้นกัลปพฤกษ์ งอกขึ้นนั้น มิใช่ เพราะนาบุญของท่านพระยาเจ้าเมือง เป็นเพราะอานิสงส์ของสองคนผัวเมียมหาเศรษฐี นั่นแหละ”คนเราอย่าได้นับประมาท ดูถูกดูแคลน คนที่เขาทำบุญน้อยนิด เพราะเขาอาจจะแลกด้วยชีวิตถึงจะได้ เงินนั้นมาทำบุญ เขาอาจจะได้อานิสงส์มากว่าเรา ที่มีเงินแสนเงินล้าน อีกก็ได้ “บุญมิได้วัดกันที่ค่าของทรัพย์สินเงินทอง แต่มันอยู่ที่กำลังใจนั่นแหละ” บางทีชาวไร่ ชาวบ้านที่ยากจน นำเงินน้อยนิดที่ได้จากน้ำพักน้ำแรงของตนมา ทำบุญ อาจจะได้ อานิสงส์ มากกว่าคนรวยๆ ที่ได้เงินมาง่ายๆ เสียอีกเน้อ

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน บางเรื่องอาจเป็นความเชื่อส่วนบุคคล

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น คลิกอ่าน นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า