ที่มาของพระนามของกรมหลวงชุมพรฯ “หมอพร” จากคำบอกเล่าของท่านหญิงเริงจิตร์แจรง อาภากร

มีข้อมูลจากหนังสืออนุสรณ์ท่านหญิงเริงในหน้า ๒๑๓ – ๒๑๕ ได้กล่าวไว้ว่า การแล่นเรือใบของพระองค์ทรงคิดว่าไม่ได้ประโยชน์อะไรมาก ทรงอยู่ว่างๆทรงคิดว่าเป็นหมออาจจะได้ช่วยชีวิตคนยากจน เป็นการกุศลที่ดีที่สุด ได้เสด็จไปหาพระยาพิษณุประสาทเวช หัวหน้าหมอหลวงฝ่ายยาไทยและขอเป็นลูกศิษย์ ท่านยินดีถ่ายเทความรู้ให้ นอกจากนั้นยังมีพระอาจารย์อื่นๆ อีกหลายคน เช่น หมอชาวฝรั่ง ชาวอิตาเลียนชื่อ “โบโตนี” หมอญี่ปุ่นชื่อ “มิตตานี” พระชื่ออาจารย์ป้อต ซึ่งเราเรียกว่า “หลวงลุง” เสด็จพ่อจะลง กราบอาจารย์ที่เป็นไทยทุกคนเมื่อเวลาพบ ทรงยกย่องและนับถือจริงๆ ซึ่งคุณย่าไม่เห็นด้วยว่าทําเกินไป

กรมหลวงชุมพรฯ

ท่านทรงศึกษาอย่างจริงจัง ได้ทรงสั่งกล้องจุลทัศน์มาสําหรับตรวจโรค มีห้องพิเศษเรียกห้องเคมีวิทยาศาสตร์ ท่านชอบทดลอง มีการค้นคว้าแก้โรคต่างๆ ทําเล่นแร่แปรธาตุสกัดหัวยาจากสมุนไพร เครื่องสกัดนี้ทําจากนอก ห้องเคมีนี้เล็กก็จริง แต่ลงทุนมาก มีตัวยาอันตรายและสําคัญเป็นยาผง นํากรด นํากลัน และหัวยา สกัดออกมาใส่ขวดปิดฉลากภาษาไทย ภาษาต่างประเทศเต็ม ๔ ตู้ ลูก ๔ คน จะรักษากุญแจคนละตู้ ห้องนั้นลันกุญแจเสมอ ทรงถือกุญแจเอง ทรงงานเดียวบ้าง กับแพทย์ชาวต่างประเทศบ้าง มีลูกๆ คอยรับใช้ ทรงแต่งองค์อย่างหมอฝรั่ง มีผ้ากันเปื้อน พวกเราเป็นผู้ช่วยก็แต่งตัวเรียบร้อยอย่างเดียวกัน เครื่องกลันใช้การได้ดี นอกจากสกัดสมุนไพร เคยสกัดดอกไม้ทําน้ำหอมก็ได้

สมุนไพรที่ขายกันมีแท้บ้าง ไม่แท้บ้าง รับสั่งว่าที่หาได้ในกรุงเทพไม่ค่อยแท้ได้เสด็จเข้าป่าเพื่อหาสมุนไพรกับเจ้ากรมรังษี และอาจารย์ป้อต ต้องปีนเขา ท่องป่า ข้ามห้วย หนทางลําบาก กว่าจะได้ว่านยาที่แท้และดี ไปบางครั้งอย่างน้อยไม่ตํากว่า ๑๐ วัน บางทีถึงเดือน เจ้ากรม ฯ และมหาดเล็กที่ตามเสด็จไปด้วยแต่งตัวกันอย่างคนพื้นเมือง ยาพวกนี้ใช้โกร่งรางเหล็กบด แล้วใส่แล่งร่อนเอาแต่ผงยาที่ละเอียดแล้วใส่เครื่องจักรหมุนอัด ออกมาเป็นเม็ด ไม่ใช้ปั้นอย่างยาชาวบ้าน เป็นเครื่องจักรทันสมัยใช้ง่าย เด็กๆก็ทําได้ไม่ต้องออกแรง ถ้าไม่ต้องเรียนเราก็ช่วยผู้ใหญ่ทำ เคยปรุงยาหอมขาย

เรือนหมอพรในอดีต

ตอนแรกไม่ขายจะไว้แจก แต่เขาว่าพระองค์ท่านจะเกลี่ยกล่อมคนไว้เป็นพวกจึงต้องขายแจกไม่ได้ ซองที่ใส่ยามีประทับตราพระอาทิตย์ชักรถ ราคาซองละสองสตางค์บ้าง ห้าสตางค์บ้าง เมื่อทรงเป็นหมอเสด็จรักษาไม่เลือกจะยากดีมีจน แม้แต่คนในสําเพ็งบ้านกระจอกงอกง่อยก็ไปรักษา ก็เพราะได้รถยนต์คันเล็กที่พระพุทธเจ้าหลวงพระราชทาน เมื่อคราวไปทําสวนครัวที่พญาไทพระราชทานชื่อว่า “เอนกผล” ใช้เป็นพาหนะไปตามซอก ตรอกเล็กตรอกน้อย โดยมากเสด็จลําพัง พวกคนจีนรู้จักมาก ตอนเย็นเสด็จไปรับลูกที่โรงเรียนเลยเสด็จแวะเยี่ยมคนไข้ พวกเราช่วยถือของตาม มีล่วมยาและเครื่องมือหลายอย่าง ข้าพเจ้าแบกร่มตามไปส่งในสําเพ็ง เจ๊กก็ซื้อเครื่องจันอับ น้ำท่าให้กินเรียกเสด็จพ่อว่าเตี่ย เราเลยเรียกเตี่ยตาม เป็นเหตุหนึ่งที่ทหารเรือและใคร ๆ เรียกท่านว่า “เสด็จเตี่ย” แต่ลูก ๆ และคนใกล้ชิดจะเรียกว่า “ติ๊ดเตีย”

การรักษาแบ่งเป็น ๔ แผนก แผนกคนแก่ แผนกวัยกลางคน แผนกเด็ก รักษาเกียวกับระดู และ ประสาท และแผนกไข้ต่าง ๆ ทุกชนิดจะมีคนตามไปรักษาเสมอ และไม่เคยคิดค่ารักษา วังเจ้านายก็ตามรักษา เช่น วังพระบรมวงศ์เธอกรมพระนเรศวรฤทธิ์ เจ้าจอมมารดากลิ่นป่วย เวลาเสด็จพ่อไปถึงคนจะพาเข้าไปที่ห้องนอน เมื่อมาแจ้งว่าเป็นหมอพรจึงจะให้เข้าได้เสด็จพ่อจะคลานเข้าไปเรียนว่า “หมอพรมาแล้วขอรับ” ที่วังหม่อมเจ้าทองเชื้อ ทองแถม ก็เคยรักษาลูกสาวคนใหญ่ยังเล็กเจ็บมากถึงชักพูดไม่ได้แล้ว ก็ยังหายป่วย
ในตอนแรกคนที่ตามมารักษาไม่รู้จักว่าเสด็จในกรม ฯ เป็นใคร วันหนึ่งคนไข้อยากรู้ชื่อถามหมอ“หมอชื่ออะไร” ทรงคิดอยู่นานไม่อยากดังก็รับสั่งว่าเรียก “หมอพร” ก็แล้วกัน คนจึงเรียกกันว่า “หมอพร”ติดปากเรื่อยมา พวกคนจีนนิยมรักใคร่บูชากันมาก กุศลและใจที่ทําไม่เคยคิดจะเอาอะไร จึงรักษาได้ดี กุศลส่งให้รักษาให้หายเกือบทุกราย

ข้อมูลจาก หนังสืออนุสรณ์ท่านหญิงเริง หน้า ๒๑๓ – ๒๑๕
ขอบคุณข้อมูลโดยเพจ คนรักเสด็จเตี่ยกรมหลวงชุมพรฯ

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน บางเรื่องอาจเป็นความเชื่อส่วนบุคคล

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น คลิกอ่าน นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า