อาจารย์เอื้อ บุษษประเกศ หงสกุล ท่านทันเป็นลูกศิษย์โดยตรงกับอาจารย์ฟ้อน ดีสว่าง ท่านได้เล่าไว้ในนิตยสารฉบับพระฉบับหนึ่ง ว่าเจอกันตอนท่านไปเป็นอัยการที่นครราชสีมา สมัยนั้นเป็นสมัยสงคราม ท่านอาจารย์ฟ้อนโดนจับมาโรงพักเพราะไปรับฝากถือผ้าดิบมาเยอะ สมัยก่อนใครมีผ้าเยอะผิดกฏหมายเหมือนกักตุนสินค้า
ท่านก็ยอมให้ตำรวจจับใส่กุญแจมือมาจากสถานีรถเดินมาสักพักกุญแจก็หลุด ท่านอาจารย์ฟ้อนก็ก็บอกตำรวจนายนั้นว่ากุญแจหลุด นายตำรวจก็มาล็อคใหม่เดินไปสักพักแกก็ร้องกุญแจหลุดอีก เป็นอย่างนี้หลายครั้งอยู่ จนตำรวจนายนั้นบอก อาจารย์ไม่ต้องใส่ก็ได้ครับ ก็ไปโรงพัก อาจารย์เอื้อเป็นอัยการและชอบเรื่องทางนี้
พอรู้ประวัติและลูกศิษย์อาจารย์ฟ้อนให้ไปช่วย เลยไปช่วย หลังจากเคลียกันออกจากโรงพัก ท่านอาจารย์เอื้อก็ถามทำใมอาจารย์ยอมให้จับครับ ทั้งที่ก็มีวิชา อาจารย์ฟ้อนบอกท่านว่า ขนาดขุนแผนท่านยังต้องรักษาสัจจะรักษากฏหมาย เราก็ต้องรักษาสัจจะและทำตามกฏหมาย
ท่านอาจารย์เอื้อผู้นี้อีกเช่นกันที่ตะล่อมถามอาจารย์ฟ้อนเรื่องคาถาที่จับแล้วผู้หญิงไม่ร้องเดินตามโดยดี ว่าใช้คาถาบทใหน อาจารย์ฟ้อนก็ไม่บอก แต่อาศัยความเป็นทนายเก่า ก็พูดไปเรื่อยๆจนอาจารย์ฟ้อนหลุดพูดมาว่า งูก็ยังจับให้ตามมาได้ ปะสาอะไรกับผู้หญิง
ท่านอาจารย์เอื้อจึงได้ทดลองใช้คาถาจับงูที่เรียนกับอาจารย์ฟ้อนมา จับมือผู้หญิงคนหนึ่ง ก็เดินตามาหลังศาลที่ท่านทำงานอยู่ เมื่อประจักษ์ผลท่านก็หยุดร่ายคาถา กล่าวขอโทษผู้หญิงคนนั้น บอกผมขอโทษคุณผมเพียงต้องการทดลองวิชา ท่านอาจารย์เอื้อยังเขียนเล่าอีกหลายเรื่อง ที่ทำให้เห็นว่าอาจารย์ฟ้อนไม่ใช่ ท่านไม่ธรรมดา เรียกว่าเป็นหนึ่งไม่รองใครทีเดียว
ที่สำคัญชอบที่อาจารย์เอื้อท่านเล่า อาจารย์ฟ้อนเวลาท่านตอกเพดานเสร็จท่านสลัดมีด ออกจากปากค้างอยู่เพดานบ้าน ไม่ใช่ตอกแล้วปล่อยต่ำให้ตกลงพื้น บางวันจับม้วนสายสิญจน์โยนขึ้นทะลุเพดาน เห็นแต่สายสิญจน์บนเพดาน แล้วก็นั่งค่อยๆดึงลงมา แต่แปลกที่หลายอาจารย์บอกมักต่างกันคือ ทางหนึ่งบอกสายนี้ชอบให้ภาวนาพุทโธตลอดเวลา…อาจารย์เอื้อบอกท่านเน้นให้ภาวนาคาถาที่มีบทพระพุทธเจ้าห้าองค์ตลอด