ท่านพ่อลี ธมฺมธโร ท่านได้สอนสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (ติสฺโส อ้วน) เล่าโดย หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน ในสมัยที่ท่านพ่อลีอยู่จำพรรษากับสมเด็จพระมหาวีระวงศ์ (ติสฺโส อ้วน) วัดบรมนิวาส ปทุมวัน กรุงเทพฯ ท่านได้รับความเมตตาจากเจ้าประคุณสมเด็จ ฯเป็นอย่างมาก แต่สมเด็จ ฯ ท่านไม่ค่อยจะเชื่อน้ำยาพระกรรมฐานสักเท่าไร ท่านเคยออกคำสั่งไล่พระกรรมฐานออกจากป่า แม้หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโตเอง ก็เคยถูกท่านไล่มาแล้ว
ท่านพ่อลีจึงคิดหาทางที่จะดัดนิสัยสมเด็จ ฯให้รู้ซะบ้างว่า ธรรมของจริง ผู้รู้จริงเป็นอย่างไร สมเด็จ ฯ ท่านอ่านตำรามาก ชอบวิจารณ์วิจัย แต่วัน ๆผ่านไปโดยไม่สนใจปฏิบัติสมาธิภาวนา พิจารณาสังขาร ทำแต่งานเผยแผ่ภายนอก คิดดูแล้วก็น่าสงสาร ท่านเป็นผู้มีคุณูปการต่อเรา เราต้องปฏิบัติการตอบแทนพระคุณท่านด้วยธรรมที่รู้เห็น มาตามสติปัญญาที่มี
เมื่อท่านพ่อลีคิดอย่างนั้น ท่านก็เริ่มปฏิบัติการ เบื้องต้นท่านจึงกำหนดจิตเพ่งกสิณน้ำและไฟ ในบางคราวเพ่งกสิณน้ำใส่สมเด็จฯ สมเด็จ ฯ ก็จะหนาวสะบั้นสั่นเทาเหมือนคนเป็นไข้จับสั่น บางคราวเพ่งกสิณไฟ กำหนดเป็นไฟไปเผา สมเด็จฯ ร้อนรนกระวนกระวายผ่าวไปทั้งร่าง แต่การเพ่งกสิณทั้งนี้ไม่ให้เป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่กลับเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เมื่อเป็นเช่นนี้บ่อย ๆสมเด็จฯ ท่านจึงเรียกท่านพ่อลีมาถามว่า
“..เอ..วันนี้มัน มันเป็นอะไรกันนะ เดี๋ยวร้อนเหมือนถูกไฟเผา เดี๋ยวหนาวจนสะบั้น”
เมื่อท่านพ่อลีเข้าไปหา ทำทีท่าจับโน่นจับนี่ พูดว่า “ไหน..ไหน..มันเป็นอะไร อากาศร้อนหนาวมันก็เปลี่ยนแปลงบ้างแหละ ขอรับเจ้าประคุณ เมื่อเป็นดังนี้หลายครั้งหลายหน ด้วยความที่สมเด็จ ฯ ท่านเป็นนักปราชญ์ฉลาดหลักแหลม ช่างสังเกตหาเหตุผลเสมอ จึงเอะใจเป็นที่น่าสงสัย เพราะถ้าท่านพ่อลีมาเมื่อใด อาการนั้นก็หายทันที
ท่านจึงพูดกับพระใกล้ชิดว่า “เหตุที่เป็นดังนี้..ท่านลีคงทำเราแหละ เราเคยดูถูกพ่อของพระกรรมฐานคือท่านพระอาจารย์มั่น ซึ่งเป็นอาจารย์ของท่าน” หลังจากนั้นมาสมเด็จฯ ท่านก็เข้าใจเพราะป่า อุดหนุนส่งเสริมในการสร้างวัดป่ากรรมฐาน เช่น วัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา ซึ่งเป็นวัดที่สำคัญเป็นกองทัพธรรมกรรมฐานในสมัยนั้น
ต่อมาสมเด็จท่านขอร้องให้ท่านพ่อลีสอนสมาธิให้ทุกวัน เมื่อท่านปฏิบัติได้ถึงขั้นจิตลงสู่ความสงบ ท่านถึงกล่าวชมท่านพ่อลีว่า
- “คำพูดของคุณแปลกจากพระกรรมฐานองค์อื่น
แม้เราจะทำไม่ได้ไม่ถึง ก็เข้าใจได้ชัดแจ้งไม่สงสัย
พระอาจารย์มั่นพระอาจารย์เสาร์ที่เคยอยู่ใกล้ชิดกับเรา
เราก็ไม่ได้ประโยชน์เหมือนคุณมาอยู่กับเรา
เพราะเรารู้สึกมีสิ่งแปลกประหลาดใจหลายอย่างในขณะนั่งสมาธิ”
ท่านลี เธอต้องอยู่กับเราจนตาย ถ้าเราไม่ตายจะหนีไปไหนไม่ได้ จะมาเฝ้าหรือไม่เฝ้าอยู่ปฏิบัติก็ตาม ขอให้รู้ว่าอยู่กับเราเท่านี้ก็พอ”
หลวงตามหาบัวได้สรุปไว้อย่างน่าฟังว่า ท่านพ่อลีนี่เองเป็นผู้ที่สามารถเอาชนะใจสมเด็จฯได้ แต่ก่อนนั้นท่านเป็นคนบ้ายศ แล้วเที่ยวขนาบกรรมฐานไปทั่ว เที่ยวไล่พระกรรมฐานที่อยู่ในป่าในเขา หลวงปู่มั่นก็เคยถูกไล่ ต่อมาในงานเผาศพหลวงปู่เสาร์ กนฺตสีโล สมเด็จฯได้พบกับหลวงปู่มั่น ท่านจึงเดินเข้าไปหาและพูดกับหลวงปู่มั่นว่า
“เออ ท่านมั่น เราขอขมาโทษเธอ เราเห็นโทษแล้ว แต่ก่อนเราก็บ้ายศ”
หลวงตามหาบัวเล่าพร้อมทั้งหัวเราะ มีรอยยิ้มหน่อย ๆ ที่ริมฝีปากเป็นกิริยาที่น่ารักเคารพของพระอริยเจ้าผู้สงบระงับ…”
ขออนุโมทนาบุญท่านผู้มีส่วนเผยแผ่โอวาทธรรมและภาพพ่อแม่ครูบาอาจารย์ขอจงเจริญในธรรม สาธุ อนุโมทามิ
ที่มาข้อมูลแอพเกจิ
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน บางเรื่องอาจเป็นความเชื่อส่วนบุคคล