กล่าวถึง หลวงพ่อช่วง วัดควนปันตาราม ครูบาอาจารย์สายเขาอ้อ ท่านเป็นศิษย์เขาอ้อ รุ่นเดียวกับ หลวงพ่อศรีเงิน วัดดอนศาลา หลวงพ่อคล้อย วัดภูเขาทอง ท่านนับเป็นพระรัตตัญญูองค์หนึ่ง สืบทอดวิชาเขาอ้อ จากหลวงพ่อเน ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดควนปันตาราม (สายเขาอ้อ) อ.ควนขนุน จ.พัทลุง อายุ 90 ปี 70 พรรษา เกิดเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2470 โยมบิดาชื่อ นายพร้อม โยมมารดาชื่อ นางฝ้าย รักหนู มีอาชีพทำนา พลวงพ่อช่วงฯ ท่านเรียนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ.2490 หลวงพ่อช่วงท่านอายุ 20 ปีก็ได้อุปสมบทที่วัดอนปันตาราม จ.พัทลุง โดยมีพระครูรัตนาภิรัต (แก้ว) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระเกิด ติสสโร เป็นพระกรรมวาจารย์ พระอธิการเคว็จเกสโร วัดคูหาสวรรค์ จ.พัทลุง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายา ฐิตธมฺโม
หลวงพ่อช่วงฯ ท่านได้เรียนวิชาไสยเวทย์จากพระอุปัชฌาแก้ว (สายเขาอ้อ) ทางด้านคงกระพัน อาบน้ำว่านเมตตามหานิยม การสร้างกุมารทอง สีผึ้ง ตะกรุดคงกระพัน หลวงพ่อช่วงฯ ท่านมีปัญญาดี มีมานะ ท่านได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมจนสอบนักธรรมตรีได้ และพ.ศ.2492 หลวงพ่อช่วงท่านก็สามารถสอบนักธรรมโทสำเร็จ หลังจากนั้นท่านก็ได้เดินทางไปเรียนวิชาไสยเวทย์จากสายเขาอ้อ เช่น หลวงพ่อปลอด วัดหัวป่า หลวงพ่อเล็ก วัดประดู่เรียง หลวงพ่อหมุนวัดเขาแดง หลวงพ่อคงวัดบ้านสวน อาจารย์นำวัดดอนศาลา
ได้รับการชี้แนะจาก พล.ต.ต.ขุนพันธรักษ์ ราชเดช อาจารย์ชุม ไชยคีรี และหลวงพ่อช่วงฯ ท่านได้เดินธุดงค์ ไปกับครูบาอาจารย์สายเขาอ้อ จนมีวิชาอาคมเก่งกล้าเมื่อเจ้าอาวาสวัดควนปันนารามได้มรณะภาพ ลงชาวบ้านได้นิมนต์ให้หลวงพ่อช่วงฯขึ้นเป็นเจ้าอาวาส ลูกศิษย์หลวงพ่อช่วงฯ ท่านมีทั้งทหารตำรวจฯ วัตถุมงคลของท่านที่สร้าง เช่น พระปิดตามหาอุต ตำราเข้าอ้อ สีผึ้ง หนุมาน ตะกรุดคงกระพันฯ มีประสบการณ์มากมาย ลูกศิษย์ท่านที่เป็นทหารตำรวจ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ถูกยิง ถูกวางระเบิด รอดตายมาแล้วหลายราย
มีข้อมูลที่น่าสนใจขอยกเอาตอนหนึ่งในบล็อก oknation ลงเกี่ยวกับท่านไว้ว่า ท่านเล่าว่าหลังจากบวชท่านได้ศึกษาพระปริยัติธรรมควบคู่ไปกับเวทมนต์คาถาจาก “พระครูรัตนาภิรัต (แก้ว)” หรือ “ตาหลวงเน” พระอุปัชฌาย์ ชะรอยตาหลวงเนจะเห็นแววประกายแห่งความสามารถ ท่านจึงมอบหมายให้พระช่วงดำรงตำแหน่งพระอุปัฏฐาก ซึ่งพ่อท่านช่วงได้กล่าวกับพวกเราแบบติดตลกว่า“พระอุปัฏฐากคือทำทุกอย่างตามที่ตาหลวงจะเรียกใช้”
ภายใต้ใบหน้าเปื้อนยิ้มและคำพูดแบบอารมณ์ดี ท่านเล่าว่าในบรรดาพระทั้งหมดที่เข้ามาขอเรียน มาขอต่อวิชานั้น ตาหลวงเนได้เฝ้าดูศึกษาพฤติกรรมความสามารถทั้งทางโลกและทางธรรม เพราะท่านต้องการที่จะเฟ้นหาผู้สืบทอดวิชาอาคมไว้สักองค์หนึ่งเพื่อเป็นตัวแทนของท่านในอนาคต
โดยการสืบทอดนั้นตาหลวงเนได้กล่าวกับท่านว่าไม่ใช่ต้องการเพียงแค่ทำเก่งเสกเก่ง แต่ต้องการผู้ที่สืบทอดด้วยจิตวิญญาณคือต้องทั้งเก่งและต้องถึงพร้อมในด้านคุณธรรม ซึ่งในยามนั้นดูเหมือนพระช่วงจะเป็นพระที่มีคุณสมบัติตรงตามความต้องการ
“ช่วงแรกๆ ก็ไม่เข้าใจ เอาสนุก เอาชอบเข้าว่า ถ้าเสกเก่ง มนต์แม่นก็เอาตัวรอดได้แล้ว แต่ตาหลวงบอกว่าคิดแค่นี้มันเป็นการคิดตื้นๆ เห็นแก่ตัว”
เรื่องที่ตาหลวงเนย้ำกับท่านเสมอๆ ทุกครั้งที่เรียนคือ
“ เรียนไปนอกจากจะต้องให้ตัวเองเอาตัวรอดแล้ว ต้องคิดเผื่อแผ่แบ่งปันผู้อื่นด้วย เช่น พระ เณร ชาวบ้านรอบๆ วัดด้วย เก่งอย่างเดียวมันไปได้ไม่นาน ต้องมีคุณธรรมที่เกิดจากจิตใจที่ดี อันนี้แหละจะทำให้เกิดความยั่งยืน”
ท่านเล่าว่าในการเรียนคาถาอาคมนั้นถึงแม้บางเรื่องบางวิชาท่านจะไม่ได้ชอบ แต่ตาหลวงเนก็มีวิธีการให้ท่านได้ซึมซับความรู้เหล่านั้นเข้าไปแบบไม่ทันรู้ตัว โดยตาหลวงเนได้ชี้ให้เห็นถึงประเด็นและเหตุผลไว้สองประการคือ
- หนึ่งคือไสยศาสตร์เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ถึงโดยเนื้อหาแล้วจะเหมือนๆ กันแต่เมื่อลึกลงในสาระแล้วมีหลักเกณฑ์ปลีกย่อยแตกต่างกันไปอีกเยอะ
- สองคือตราบใดที่วัดยังคงเป็นวัด ตราบนั้นยังต้องมีสมภารหรือหัววัดที่มีความสามารถ มีบารมี ฯลฯ พอที่จะนำพาวัดให้เจริญรุ่งเรือง
ท่านเล่าว่าในความเป็นเหตุเป็นผลที่ตาหลวงเนได้ชี้ให้เห็นนั้น มีบางครั้งที่ท่านพยายามทำเมินเฉยไม่ใส่ใจ โดยให้ความเห็นเฉพาะตัวว่า “ไสยศาสตร์” มันไม่ใด้เป็นเรื่องสลักสำคัญสำหรับชีวิต เมื่อเทียบการศึกษาคำสั่งสอนใน “พระไตรปิฏก” ที่มีคุณค่าสูงในการยกระดับความประพฤติทางกายวาจาและยกระดับคุณธรรมทางจิตใจให้สูง
ขอบคุณข้อมูลจาก บล็อก oknation
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน บางเรื่องอาจเป็นความเชื่อส่วนบุคคล