ณ รัฐคุชราต ที่พุทธศาสนาได้วางรากฐานมาตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช หรือ เมื่อประมาณ ๒,๓๐๐ กว่ามาแล้ว ปัจจุบันฝ่ายโบราณคดีของชาวภารตะได้ขุดพบซากโบราณสถานและวัตถุที่แสดงให้เห็นถึงร่องรอยพุทธอารยธรรมที่เจริญรุ่งเรืองในรัฐคุชราตแต่ครั้งโบราณกาล เมื่อปี ค.ศ. 1957 ศาตราจารย์ B. Subbrao และทีมนักโบราณคดี จากภาควิชาโบราณคดี และประวัติศาสตร์โบราณ คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาราชาสยาจิเราแห่งบาโรดา (Maharaja Sayajirao University of Baroda) เมืองวาโรดารา ได้ไปทำการขุดเจาะซากสถูปใหญ่ที่เมืองเทวนิโมรี ทางตอนเหนือของรัฐคุชราต ซึ่งการขุดเจาะสถูปนี้ พวกเขาได้พบผอบ ๒ ใบ
ใบแรก ฝังอยู่ใต้ดินชั้นล่างของสถูป ลักษณะเป็นหินเจาะตรงกลางและมีฝาปิด แต่ไม่เสร็จสมบูรณ์ ไม่บรรจุสิ่งใด
ใบที่สอง อยู่ช่วงกลางของสถูป มีการก่อหินล้อมไว้อย่างดี ผอบมีลักษณะทรงกลมมีฝาปิด ทำจากหินแปรสีเขียว (chlorite schist) มีอักษรพราหมีจารึกไว้ทุกรอบด้าน นักวิชาการโบราณคดีทีมของศาตราจารย์ V. H. Sonawane จึงได้ช่วยกันแกะ และแปลอักษรพราหมีในจารึก พวกเขาจึงได้รู้ว่า จารึกนี้แบ่งออกเป็น ๒ ส่วน อีกทั้งยังได้ทราบว่า เป็นเถ้าพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า
จารึกส่วนแรกนั้น กล่าวถึง “ปฏิจจสมุปบาท” ซึ่งเป็นหลักธรรมที่อธิบายถึง การเกิดขึ้นพร้อมแห่งธรรมทั้งหลายเพราะอาศัยกัน เช่น ทุกข์เกิดขึ้นเพราะมีปัจจัย ๑๒ ประการเกิดขึ้นสืบๆเนื่องกันมาตามลำดับ
จารึกส่วนที่สอง กล่าวถึงความเป็นมาของสถูป ความดังนี้ “…สถูปนี้สร้างในสมัยของพระเจ้ารุทราเสน (Rudrasena) แห่งราชวงศ์กธิกะ (Kathika) โดยการกำกับดูแลของพระสงฆ์ ๒ รูปได้แก่ พระอัคนีพรหม (Agnivarmma) และพระสุทรสนะ (Sudarsana) ที่ใกล้ๆ กับเมืองกรมันฏิกะ (Karmantika) และปสันฏิกะ (Pasantika) สำหรับผอบนั้นสร้างถวายเป็นที่ประดิษฐานของ ทศพลสรีระ (Dashabalasharira) โดยพระเจ้าวรหะ โอรสของพระเจ้าเสนะ มีพระภิกษุมหาเสนะเป็นผู้จัดเตรียมผอบเพื่อบรรจุพระอัฐิธาตุ…”
ยมฺหิ สจฺจญฺจ ธมฺโม จ อหึสา สญฺญโม ทโม เอตทริยา เสวนฺติ เอตํ โลเก อนามตํ : สัจจะ ธรรมะ อหิงสา สัญญมะ และทมะ มีอยู่ในผู้ใด อารยชนย่อมคบผู้นั้น นั่นเป็นธรรมอันไม่ตายในโลก
.
นอกจากคำว่า ทศพลสรีระแล้ว ก็ยังมีคำจารึกพระนามอื่นของพระพุทธเจ้าอีก คือ ศากยภิกษุอวตาร (Sakyabhikshukavatr) ส่วนสาเหตุที่เถ้าพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าไปอยู่ไกลถึงตอนเหนือ ของรัฐคุชราตนั้น เกิดจากพระเจ้าอโศกได้แบ่งพระบรมสาริกธาตุและเถ้าพระบรมสารีริกธาตุใหม่ แล้วนำไปประดิษฐานตามวัดพุทธวิหารต่างๆ ถึง ๘๔,๐๐๐ แห่ง ทั่วชมพูทวีป ในเวลาต่อมากษัตริย์เมืองเทวนิโมรีก็ได้รับมาด้วยเช่นกัน จึงได้สร้างสถูปเจดีย์ครอบไว้ เมื่อราว พุทธศักราช ๗๐๐-๘๐๐
ปัจจุบันพระบรมสารีริกธาตุ ที่ทางคณะฯ ได้ขุดค้นพบและเก็บรักษาไว้ในตู้เซฟอย่างดีในห้องทำงานของหัวหน้าภาควิชา และชั้นล่างมีพิพิธภัณฑ์จัดแสดงแสดงพุทธอารยธรรมในรัฐคุชราตที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง
ขอบคุณภาพ/ข้อมูล: Phramaha Anuchon Khammee /สำนักงานกำกับดูแลพระธรรมทูตไปต่างประเทศ
เป็นยังไงกันบ้างกับหลากหลายเรื่องราวที่เพจเรื่องเล่าชาวสยามได้นำมาเล่าต่อของตำนานพระบรมสารีริกธาตุพระพุทธเจ้า บทความนี้นำมาเผยแพร่เพื่อศึกษาเผยแผ่บารมีเป็นสังฆบูชา และเทิดทูนเกียรติบุคคลคุณครูบาอาจารย์ทุกท่านผู้มีพระคุณ ทั้งนี้โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน บางเรื่องอาจเป็นความเชื่อส่วนบุคคล