สวัสดีครับวันนี้ เรื่องเล่าชาวสยาม ขอนำทุกท่านมาศึกษาเรื่องเล่าตำนานหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เรามาติดตามกันได้เลย
หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต เคยเล่าไว้ว่า ช่วงเวลาสามปีที่พักอยู่ในถ้ำสาริกานั้น ท่านได้ประสบเหตุการณ์ต่างๆ มากมาย จนเป็นที่สะดุดและฝังใจตลอดมา
เหตุการณ์หนึ่งในนั้นก็คือ เมื่อหลวงปู่มั่นเดินทางไปถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้กับถ้ำ ท่านได้วานให้ชาวบ้านไปส่งที่ถ้ำสาริกาเพราะไม่เคยไปและไม่รู้ทาง ชาวบ้านจึงเล่าเรื่องอาถรรพ์ต่างๆ ของถ้ำแห่งนั้นให้ท่านฟังว่า …
“ถ้าพระไม่ดีจริงๆ ไปอยู่ไม่ได้ ต้องเจ็บป่วยสารพัดและตายกันแทบไม่มีเหลือรอดลงมา เพราะถ้ำแห่งนี้มี ‘ผีหลวง’ รูปร่างใหญ่และมีฤทธิ์มาก คอยรักษาอยู่ ผีตัวนี้ดุร้ายมาก ไม่เลือกพระเลือกเจ้า ถ้าใครเข้าไปอยู่ถ้ำนั้นจะต้องมีอันเป็นไปอย่างคาดไม่ถึง ยิ่งพระรูปใดที่อวดอ้างตัวเองว่าเก่ง มีวิชาอาคมขลัง และไม่กลัวผีแล้ว ผีตัวนั้นจะยิ่งชอบทดสอบ แล้วพระรูปนั้นก็ต้องเจ็บป่วยขึ้นมาอย่างกะทันหันและตายเร็วกว่าปกติที่ควรจะเป็น”
เมื่อเล่าจบแล้ว ชาวบ้านก็พร้อมใจกันนิมนต์วิงวอน…ไม่อยากให้หลวงปู่มั่นขึ้นไปอยู่ในถ้ำ เพราะกลัวว่าท่านจะตายเหมือนพระรูปอื่นๆ
หลังจากฟังชาวบ้านพูดจบแล้ว หลวงปู่มั่นก็บอกว่าท่านไม่กลัว และขอให้ชาวบ้านพาท่านขึ้นไปส่งที่ถ้ำ
จนกระทั่งในคืนหนึ่ง หลังจากที่หลวงปู่มั่นจิตสงบเป็นสมาธิและสว่างออกไปนอกกายก็ปรากฏร่างดำใหญ่ของบุรุษผู้หนึ่ง สูงราวๆ สิบเมตร ถือตะบองเหล็กใหญ่เท่าขา ยาวประมาณสองวา เดินเข้ามาหาและบอกกับท่านว่า
“จะทุบตีให้จมลงไปในดิน … ถ้าไม่หนีจะฆ่าให้ตาย!!” (ตะบองเหล็กนั้นตีช้างตัวใหญ่แค่ทีเดียว ช้างตัวนั้นจะต้องจมลงไปในดินแบบมิดเลยโดยไม่ต้องตีซ้ำอีก)
หลวงปู่มั่นกำหนดจิตถามผีร่างยักษ์นั้นว่า
“จะมาตีและฆ่าอาตมาทำไม? อาตมามีความผิดอะไรถึงจะต้องถูกตีถูกฆ่า? การมาอยู่ที่นี่มิได้มากดขี่ข่มเหงหรือเบียดเบียนใครให้เดือดร้อน!!”
ผีร่างยักษ์บอกว่า เขาเป็นผู้มีอำนาจรักษาภูเขาลูกนี้อยู่นานแล้ว ไม่ยอมให้ใครมามีอำนาจเหนือตนเองไปได้ จะต้องกำจัดทันที
หลวงปู่มั่นจึงถามผีร่างยักษ์ตนนั้นว่า
“ถ้าท่านเป็นผู้มีอำนาจและเก่งจริงอย่างที่อวดอ้างแล้ว ท่านมีอำนาจเหนือกรรมและเหนือธรรมอันเป็นกฎใหญ่ปกครองมวลสัตว์ในสามโลกด้วยหรือเปล่า?”
ผีร่างยักษ์ตอบว่า “เปล่า”
หลวงปู่มั่นพูดต่ออีกว่า
“พระพุทธเจ้าท่านสามารถปราบกิเลสที่คอยอวดอำนาจว่าตัวเองดี-ตัวเองเก่งอยู่ภายใน ส่วนท่านที่ว่าตัวเองเก่งนั้น…ได้คิดปราบกิเลสตัวนั้นให้หมดสิ้นไปบ้างหรือยัง?”
ผีตอบว่า “ยังเลยท่าน”
หลวงปู่มั่นพูดอีกว่า
“ท่านว่าท่านเป็นผู้มีอำนาจอันใหญ่หลวงปกครองอยู่ในเขตเขาเหล่านี้ แต่อำนาจนั้นมีฤทธิ์เดชเหนือกรรมและเหนือธรรมไปได้ไหม? … ถ้าท่านมีอำนาจและมีฤทธิ์เหนือธรรมแล้ว ท่านก็ทุบตีหรือฆ่าอาตมาได้
สำหรับอาตมาเองไม่กลัวความตาย แม้ท่านไม่ฆ่า อาตมาก็ยังจะต้องตายอยู่ดีเมื่อกาลของมันมาถึง เพราะโลกนี้เป็นที่อยู่ของมวลสัตว์ผู้เกิดมาแล้วต้องตายทั่วหน้ากัน แม้ตัวท่านเองที่กำลังอวดตัวว่าเก่งในอำนาจจนกลายเป็นผู้มืดบอดอยู่ขณะนี้ ท่านก็มิได้เก่งกว่าความตายและกฎแห่งกรรมที่ครอบงำสัตว์โลกไปได้”
ระหว่างที่หลวงปู่มั่นกำลังเทศน์สั่งสอนผีร่างยักษ์ผ่านทางสมาธิอยู่นั้นปรากฏว่า ผีตนนั้นยืนตัวแข็งเหมือนตุ๊กตา ไม่กระดุกกระดิก ไม่ขยับเขยื้อนไปมาเลย ถ้าเป็นคนธรรมดาก็ทั้งกลัวทั้งอับอายจนตัวแข็งแทบลืมหายใจ แต่นี่เป็นอมนุษย์ก็เลยไม่รู้ว่าเขามีลมหายใจหรือไม่ แต่อาการทั้งหมดนั้นก็แสดงให้เห็นชัดว่า ผีตนนั้นทั้งกลัวทั้งอับอายหลวงปู่มั่นจนสุดที่จะอดกลั้นได้ แต่ก็สามารถอดกลั้นได้อย่างน่าชม
เมื่อหลวงปู่มั่นแสดงธรรมจบลง ผีร่างยักษ์ก็ได้ทิ้งตะบองเหล็กลงจากบ่า และเนรมิตแปลงกายจากร่างของผีที่มีร่างกายดำใหญ่มาเป็นสุภาพบุรุษผู้อ่อนโยนด้วยมารยาทอัธยาศัย แสดงความเคารพและกล่าวคำขอโทษท่านด้วยความสำนึกในบาปอย่างจริงใจ
สุดท้ายแห่งการสนทนาธรรม บุรุษผู้นั้นได้มีความเคารพเลื่อมใสในธรรมเป็นอย่างยิ่งและปฏิญาณตนถึงพระรัตนตรัย โดยให้หลวงปู่มั่นเป็นสรณะและเป็นองค์พยานด้วย พร้อมทั้งให้ความอารักขาแก่ท่านเป็นอย่างดี และขอนิมนต์ท่านให้พักอยู่ที่นี่ให้นานๆ เขาจะเป็นผู้คอยดูแลรักษาท่านทุกอิริยาบถ ไม่ให้มีอะไรมาเบียดเบียนหรือรังแกท่านได้เลย
ความจริงแล้ว บุรุษผู้นี้มิใช่บุรุษลึกลับและมีร่างกายดำสูงใหญ่ดังที่ปรากฏตัวต่อหลวงปู่มั่น แต่เขาเป็นหัวหน้าแห่งรุกขเทวดาผู้มีบริวารมากมาย โดยอาศัยอยู่ในภูเขาและสถานที่ต่างๆ ซึ่งมีอาณาบริเวณกว้างขวางติดต่อกันหลายจังหวัด มีนครนายกเป็นต้น