ในอดีตเรื่องความเชื่อเวทย์มนต์ คาถา สิ่งเหนือธรรมชาติ เป็นสิ่งที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ ถูกส่งต่อกันมาทางความเชื่อและประสบการณ์ที่เจอกันมาแล้วถูกบอกเล่ากันปากต่อปาก มาถึงในปัจจุบัน
ความเชื่อเหล่าถูกกลบด้วยความทันสมัยความเจริญตามยุคสมัย แต่ก็ยังคงมีให้เห็นอยู่ วันนี้จะมาขอเล่าอีกบทเรื่องตำนานของยันต์เสือหัวขาดสุดเข้มขลังมาติดตามกัน
การสักเสกเลขยันต์เป็นความเชื่อของแต่ล่ะบุคคล ซึ่งผู้ที่สักต่างอยากเสริมบารมีโชคลาภ ในสมัยก่อนเน้นเรื่องคงกระพันชาตรีหนังเหนียว แต่ในปัจจุบันเป็นยุคแห่งการทำงานหาเงิน มักเน้นในเรื่องเมตตาโชคลาภกัน ในบทความนี้เราขอเอ่ยถึงยันต์ที่กันว่าเข้มขลังสุดๆไม่เป็นรองใครคือ ยันต์เสือหัวขาด
ยันต์เสือหัวขาดนี้ หลวงพ่อไฉน ฉนฺทสาโร วัดคุณากรบูรพาจารย์ อ.บ้านฝาง จ.ขอนแก่น ท่านได้เรียนวิชากับพระอาจารย์วิชิต สิริภัทรโท วัดพระพุทธบาทเขานางนม เพราะมีคำร่ำลือว่าหลวงพ่อท่านมีวิชานี้อยู่ แต่ท่านเลิกสักมานานแล้ว เพราะว่าตำรวจได้ขอไว้ ท่านเปิดสักแต่หมูทองแดง ในขณะนั้นคนที่พาหลวงพ่อเข้าไปกราบพระอาจารย์วิชิต ชื่อว่า นายไพรัตน์ นาสา ซึ่งเป็นคนอยู่ในหมู่บ้าน ได้พาหลวงพ่อเข้าหาพระอาจารย์วิชิตเพื่อขอทำการเรียนวิชานี้ แต่ท่านไม่ยอมสอน หลวงพ่อขออยู่เป็นเวลานานและก็เล่าให้ฟังว่าท่านก็เรียนมาเยอะเรียนมาหลายที่พอมีพื้นฐานในอักษระเลขยันต์และพระสูติต่างๆ แต่ท่านมาขอเรียนเผื่อไม่อยากให้วิชาหายไปตามกาลเวลา พระอาจารย์วิชิต ท่านจึงบอกเคล็ดมาโดยท่านพูดให้ฟัง ว่าการที่จะทำและเสกเสือหัวขาด ของฉันไม่ยากเลย เพียงเอาภาพเสืออะไรมาก็ได้ และเอาหัวมันออก คาถาหัวใจ เสกใส่มีแค่นี้

ท่านก็ต้องไปเรียกรูปเรียกนามแต่งอาการสามสิบสอง อีกอย่าง ในขณะที่ท่านเสกท่านต้องทำตัวเองให้เป็นเสืออีกด้วย ปลุกธาตุของเสือขึ้นมา อย่าเอาไปเลย สักให้คนไปก็ไปเป็นนักเลงเป็นโจรหมดจะเรียนไปทำไม นี่คือคำพูดที่พระอาจารย์วิชิตพูดกับหลวงพ่อ ท่านบอกหลวงพ่อว่าสำคัญที่หัวใจ นอกนั้นคือส่วนประกอบนอกจากนั้นมาท่านก็ให้หลวงพ่อแต่งขัน 5 และท่านก็สักให้หลวงพ่อที่ต้นแขนว่า นะอะระหังนะ และหลวงพ่อท่านก็ถวายขัน 5 ดอกไม้ธูปเทียนให้พระอาจารย์วิชิต

และผ่านมาจนถึงปี 47-48 ครั้งหลวงพ่ออยู่ที่ วัดซับสวองท่านก็เริ่มเปิดสักในขณะนั้น จนมีลูกศิษย์ลูกหามากมาย ในขณะนั้นมีหลายสำนักกำลังเปิดสักกันหลวงพ่อท่านก็เอาเสือหัวขาด ที่ท่านได้มาจากพระอาจารย์วิชิตมาสักแต่ท่านแปลงเพราะเกรงว่า เสือมันจะดุเกินไปและกลัวคนที่สักไปคุมไม่อยู่ไปเป็นโจรกันหรือเกเรเป็นอัธพาลท่านจึงทำหลักขึ้นและล่ามโซ่ตรึงกับธรณีไว้ว่า
“กูจะไม่ทำใครก่อนแต่อย่าเข้ามาทำกูในพื้นที่เขตของกู”
จนเป็นที่โด่งดังจนมีลูกศิษย์นับพันเดินทางเข้ามาสักอยู่เรื่อยๆ ลูกศิษย์มากหน้าหลายตาจากทั่วทิศ จึงได้ถามหลวงพ่อว่ามีอะไรจะเล่าให้ฟังไหมครับ หลวงพ่อท่านก็บอกว่า ถ้าอยากรู้ก็มาที่วัดสิฉันยินดีจะเล่าให้ฟัง ถ้าของฉันไม่ดีจริงไม่ขลังจริงไม่ศักดิ์สิทธิ์จริง ฉันไม่สร้างวัดวาอารามและทำนุบำรุงพระศาสนาได้ถึงขนาดนี้หรอก
เหตุอัศจรรย์เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2553 หลวงพ่อไฉนท่านได้เดินทางไปปลุกเสกวัตถุมงคลที่วัดโนนตากลาง อ.โนนสูง จ.นครราสีมาโดยตอนเย็นของวันนั้นท่านจะต้องปลุกเสกวัตถุมงคลก่อนหลังจากนั้นในวันรุ่งขึ้นจะเป็นพิธีครอบครูให้กับลูกศิษย์ ในขณะที่ท่านทำพิธีนั่งปลุกเสกนั้นท่านจะใช้โอ่งในการใส่น้ำเพื่อทำน้ำมนต์

โดยวางไม้กระดานไว้บนปากโอ่งแล้วใช้เทียนใหญ่ขนาดเท่าแขน 2 เล่มวางไว้บนไม้กระดานแล้วจึงเริ่มทำการอธิษฐานจิตปลุกเสกพร้อมกับทำน้ำมนต์ไปด้วย แต่สิ่งที่มหัศจรรย์คาดไม่ถึงก็คือในขณะที่ท่านนั่งหลับตาปลุกเสกอยู่นั้นเทียนเล่มหนึ่งที่ว่างอยู่บนไม้กระดานนั้นไหลลงมาทั้งๆที่ยังมีไฟลุกอยู่ไหลลงมาใส่ท่านแล้ววางทับอยู่ที่จีวรกับขาของท่านในขณะที่เทียนไหลมาอยู่ที่จีวรตรงขาของท่านนั้นไฟยังลุกอยู่แรงมากจนชาวบ้านและพระเจ้าอาวาสที่วัดโนนตากลางนั้นต่างพากันตกใจชาวบ้านยังพากันพูดว่าไฟไหม้
หลวงพ่อไฟไหม้และสังเกตดูท่านนั่งอธิษฐานจิตปลุกเสกท่ามกลางเปลวเทียนอยู่ได้นานสักพักหลังจากนั้น พระเจ้าอาวาสวัดโนนตากลางจึงได้เดินไปหยิบเทียนออกแล้วน้ำไปวางไว้ที่เดิมแต่หลังจากที่ยกเทียนออกจากท่านเจ้าอาวาสและชาวบ้านที่ได้เข้าร่วมพิธีนั้นต่างก็ตกใจกันเป็นอย่างมาก เพราะบริเวณจีวรและขาของหลวงพ่อไฉนบริเวณที่เทียนไหลมาวางติดจีวรอยู่นั้น ไม่มีรอยไหม้แม้แต่นิด
ปกติไฟโดนผ้าก็จะต้องไหม้แต่ว่านี่โดนผ้าแล้วคาอยู่ตั้งนานกลับไม่เป็นอะไรเรื่องนี้ทำให้ผู้ที่พบเห็นและเข้าร่วมอยู่ในพิธีรวมถึงเจ้าอาวาสวัดโนนตากลางตกใจและเกิดความศรัทธาในหลวงพ่อไฉนกันเป็นอย่างมากและทำให้วัตถุมงคลชุดนี้หมดไปอย่างรวดเร็วไม่ว่าจะเป็นน้ำมันว่านที่ท่านเสก เหรียญหลวงปู่พรหมสรรอด และตะกรุด แถมในพิธียังมีการลองโดยใช้มีดกรีดหลังของผู้ที่มีวัตถุมงคลด้วย หลังจากที่ท่านได้ปลุกเสกเสร็จเจ้าอาวาสวัดโนนตากลางยังมาขอดูจีวรของท่านอีกทีเพื่อให้แน่ใจแต่กลับไม่มีรอยไหม้มีเพียงคราบน้ำตาเทียนติดอยู่ที่จีวรของท่าน
“ลายยันต์เสือหัวขาด” ที่มาถือกำเนิดที่ อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี ในสมัยก่อนเรื่องมีอยู่ว่ามีโจรอยู่กลุ่มหนึ่งที่มีวิชาอาคมเที่ยวปล้นฆ่า จนตำรวจยังทำอะไรไม่ได้ ด้วยอาวุธต่างๆไม่ทำให้ระคายผิว พอตำรวจจับโจรกลุ่มนี้ได้ก็เปิดเสื้อดูที่หน้าอก ปรากฏว่าพบลายสักของโจรกลุ่มนี้เหมือนกันหมดก็คือ ลายสักเสือหัวขาด
ตำรวจจึงตามหาอาจารย์ที่สักลายเสือหัวขาดนี้เพื่อขอให้เลิกสักให้ลูกศิษย์ ปรากกฏว่าผู้ที่สักลายสักเสือหัวขาดนี้เป็นหลวงพ่อวิชิต สิริภัทโท เจ้าอาวาสวัดเขานางนม อ.พนัสนิคม จ.ชลบุรี ตำรวจจึงขอให้ท่านเลิกสักจนมีอยู่วันหนึ่งหลวงพ่อไฉนท่านเดินทางไปที่ จ.ชลบุรี มีชาวบ้านได้เล่าถึงเรื่องราวของลายสักของหลวงปู่ท่านนี้ให้หลวงพ่อฟัง หลวงพ่อท่านจึงเดินทางไปกราบท่านและขอเรียนวิชากับท่านที่วัดเขานางนม

พอไปถึงพระลูกวัดก็บอกท่านว่าหลวงปู่ท่านอยู่ข้างบนศาลา ซึ่งเป็นที่แปลกใจคือ พอหลวงพ่อท่านขึ้นไปกราบก็ไม่พบหลวงปู่ ท่านจึงลงมาถามพระลูกวัดอีกครั้งพระลูกวัดก็บอกว่าหลวงปู่นั่งอยู่ที่เดิมนั่นแหละ ท่านจึงกลับขึ้นไปอีกครั้งปรากฏว่าหลวงปู่ท่านนั่งยิ้มให้หลวงพ่อ ท่านนั่งกำบังตัวอยู่ตั้งแต่ตอนแรก หลวงพ่อท่านจึงเข้าไปกราบและขอเรียนวิชานี้ ที่แรกนั้นหลวงปู่ท่านจะไม่สอนให้เพราะเห็นว่าลูกศิษย์ที่สักไปเป็นเสือเป็นโจรกันหมด ด้วยปัญญาอันเฉียบแหลมของหลวงพ่อไฉน ท่านจึงคิดที่จะตั้งเป็นหลักที่ปักไว้ที่ธรณีล่ามโซ่เสือหัวขาด ซึ่งหมายถึง ไม่ทำใครก่อนแต่ใครอย่ามาทำเราก่อน หลวงปู่ท่านจึงสอนให้ เพราะต้นฉบับนั้นเสือหัวขาดจะไม่มีหลักมาปักแล้วล่ามโซ่ไว้ และลายสักเสือหัวขาด
ข้อมูลบางส่วนจากคุณ panuwat nu
เรียบเรียงโดย KIDNAN.COM
ติดตามเราช่องทางอื่นได้ที่
Website www.Kidnan.com
Website www.Gejithai.com
Facebook เรื่องเล่าชาวสยาม