เมื่อปี2534ปู่มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับครอบครัวโสมอินทร์ จนเหมือนว่าเป็นลูกชายคนโตของคุณแม่เสงี่ยม โสมอินทร์
คุณแม่เสงี่ยมมีลูกชายคนเดียวคือคุณบรรณศาสตร์ โสมอินทร์ ที่เปรียบเสมือนน้องชายของปู่
คุณบรรณศาสตร์แขวนเหรียญกษาปณ์สมัยรัชกาลที่๕(พระบรมรูป ร.๕)มีรอยจารเต็มทั้งหน้าหลังอยู่ในคอเพียงเหรียญเดียว
ปู่นึกว่าเป็นเหรียญ ร.๕ ของหลวงพ่อมุม
ด้วยเห็นเหรียญลักษณะนี้ออกจากหลวงพ่อมุมบ่อยๆ
วันหนึ่งคุณบรรณศาสตร์ไปกินเหล้าที่ไหนสักแห่ง(จำไม่ได้) อาจเป็นผับหรือร้านเหล้าที่มีดนตรี
เกิดทะเลาะวิวาทกัน จึงถูกฝ่ายตรงข้ามยิงด้ว ย ปื น สั้ น 3 นัดซ้อน
ไม่ออกแม้แต่นัดเดียว
คุณบรรณศาสตร์ไล่ชกต่อยมือปืนจนถึงกับโกยยอ้าวหนีหัวซุกหัวซุนสู้ไม่ได้
ระหว่างชุลมุนจะมีกา ร ยิ ง ซ้ำอีกหรือเปล่าไม่ทราบ ไม่ได้สังเกตุ มัวแต่หน้ามืดด้วยโทสะ
หลังเกิดเหตุนั้นแล้ว ปู่จึงสนใจและได้ซักถามเอาความจริงว่าเหรียญนั้นเป็นของหลวงพ่อมุมใช่หรือไม่
“ไม่ใช่ครับพี่”
“อ้าว..ของใครกันล่ะ”
“ของอาจารย์คำผุก”
“อาจารย์คำผุก?”
“เป็นอาจารย์ของคุณพ่อของผมครับ”
คุณพ่อของคุณบรรณศาสตร์คือ นายประสพ โสมอินทร์ เ สี ย ชี วิ ตไปนานหลายปีก่อนที่ปู่จะมารู้จักครอบครัวนี้
“ไหนเล่าให้ฟังหน่อย เรื่องมันเป็นยังไง”
“ก่อนเสีย..คุณพ่อให้เหรียญนี้กับผม บอกว่าผมเป็นลูกชายคนเดียว นอกนั้นผู้หญิง จึงสมควรจะได้เหรียญนี้ไว้ สั่งแล้วสั่งอีก ให้เก็บรักษาบูชาให้ดี”
หลังจากนั้นเรื่องของอาจารย์คำผุกก็พรั่งพรูออกมา
ทำเอาปู่อึ้งประหนึ่งถูกผีอำ
เกิดคำถามผุดขึ้นในใจอย่างช่วยไม่ได้
เรื่องของอาจารย์คำผุกทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริงหรือ?
เมื่อนึกถึงปู่คำผุก ต้องนึกถึงปู่จารย์รอด
ทั้งสองท่านมีความคล้ายกันจนแทบจะเหมือน
ปู่จารย์รอดเป็นลูกศิษย์หลวงปู่ศุข มะขามเฒ่า
มีความเก่งกล้าสามารถทางคาถาอาคม
เล่นฤทธิ์เล่นเดชเป็นที่ประจักษ์แก่สานุศิษย์ทั้งหลาย
วันหนึ่งท่านตัดสินใจลาสิกขาออกจากเพศสมณะ บอกว่าตนหากยังคงประพฤติปฏิบัติอยู่อย่างนี้ ย่อมจะเป็นมลทินแก่ผ้าเหลืองสึกออกไปเสียจะดีกว่าจะเสกเป่าเล่นไสยศาตร์อย่างไรไม่มีใครว่าผ้าเหลืองไม่มัวหมองนับว่าน่าสรรเสริญยิ่ง
ปู่จารย์รอดมรณะในท่านั่งสมาธิ ที่หน้าถ้ำบนเขาโบสถ์ จังหวัดประจวบฯเขียนจดหมายสั่งเสียไว้ด้วยว่า ห้ามมิให้ผู้ใดเคลื่อนย้า ย ศ พ ให้ปล่อยทรากสังขารของท่านไว้แก่สัตว์ป่าเป็นทาน
ปู่คำผุกก็เช่นกัน เดิมเป็นเณรแล้วก็เป็นพระ
ภายหลังสึกออกมา ดำรงตนเป็นฆราวาส มีฤทธิ๋มีเดช มีสานุศิษย์นับถือเลื่อมใสไม่น้อย
ประวัติชีวิตของปู่ คำผุกแปลกประหลาดพิสดารชวนอัศจรรย์
น่าเสียดายที่ท่านฝังตัวอยู่กับความเงียบเชียบ
ยากที่จะหาผู้รู้จักและเข้าใจดียิ่งนานวันยิ่งถูกกาลเวลากลืนจนหายไปจากความทร ง จำแม้ ปู่เองก็เคยลืมจารย์ปู่คำผุ กไปหลายวาระเหมือนกันเมื่อมาโม้เรื่องฤาษีจนเลยเถิดมาถึงบัดนี้
จึงเป็นเหตุให้นึกออกอีกครั้งฉนี้แล..ต้องรีบเล่า..ก่อนจะลืมไปอีกครา
ปู่คำผุก เป็นชาวบ้านท่าสว่าง เกิดที่นั่น โตที่นั่น และมีเรื่องราวชวนอัศจรรย์อยู่ที่นั่น
เมื่อแรกเกิดเป็นคนปกติเช่นเด็กทั่วไป
แต่พอเริ่มรู้ภาษารู้จักความ เกิดอาการป่วยจนถึงกับทำให้ตาบอดสนิททั้งสองข้าง
กลายเป็นภาระให้พ่อแม่เลี้ยงดูอย่างยากลำบาก
พ่อแม่ได้นำตัวปู่คำผุกไปถวายวัด โยนภาระให้วัด ซึ่งวัดก็รับไว้ด้วยเมตตาสงสาร
อยู่วัดไม่นาน
หลวงพ่อเจ้าอาวาสให้บรรพชาเป็นสามเณร ได้ศึกษาและปฏิบัติธรรมไปตามอัตภาพ
หลายปีต่อมา ปู่คำผุกเติบใหญ่ขึ้น กลายเป็นสามเณรโข่งตาบอดที่นึกอยากจะได้วิชาคาถาเพื่อพัฒนาตน
อยากหาความรู้ใส่ตัวพอให้ได้ช่วยสร้างประโยชน์ตนประโยชน์ท่านกับเขาบ้าง
เวลานั้นปู่คำผุกได้ยินกิตติศัพท์ว่าอาจารย์สิงห์ บ้านคึม มีวิชาดี
โดยเฉพาะวิชาอ้อน้ำไหล
ถ้าได้ใครเรียนจนสำเร็จจะเล่นจะร้องจะลำอะไรคนมักติด
ปู่คำผุกอยากเรียนเป็นอันมาก หวังว่าจะได้เอาวิชานี้มาใช้สำหรับการเทศน์
ตัวอาจารย์สิงห์เองเคยบวชเป็นพระมาก่อน สึกออกมาหาเลี้ยงตนและครอบครัวด้วยวิชาอาคมอยู่นานปี
หลังๆประสพความลำบาก ด้วยชาวบ้านพากันเห็นว่าอาจารย์สิงห์เป็นปอบเลยพาลขับไล่ให้ออกไปอยู่นอกเขตหมู่บ้านตา มลำพั งกับครอบครัวของตน
เรื่องที่เขาลือกันว่าอาจารย์สิงห์เป็นปอบนั้น ปู่คำผุกทราบดี แต่ไม่กลัวปู่ คำผุ กได้กราบขออนุญาตหลวงพ่อเจ้าอาวาสให้ช่วยพาไปหา
แต่หลวงพ่อเจ้าอาวาสก็ผัดผ่อนเรื่อยมา ไม่พาไปสักที
ในที่สุดก็หันไปพึ่งหลวงพี่รูปหนึ่ง ซึ่งมีเมตตาต่อปู่คำผุ กมากกว่าผู้ใดหลวงพี่รูปนั้นอาสาพาไปจนพบตัวอาจารย์สิงห์
พบแล้วก็ทิ้งปู่คำผุกไว้กับอาจารย์สิงห์
ส่วนหลวงพี่อาจเกรงกลัวอาจารย์สิงห์จึงขอกลับวัดไม่อยู่ด้วย
เมื่อพบกันแล้วอาจารย์สิงห์รับปากว่าจะสอนให้ไม่หวงวิชา
ให้ปู่คำผุ กพักผ่อนหลับนอนที่บ้านของอาจารย์สิงห์สักคืน พอให้หายเหนื่อย แล้วค่อยเรียนทีหลัง
ระหว่างนั้นอาจารย์สิงห์ได้บอกว่า อยากจะให้ปู่คำผุกดูอะไรสักอย่างหนึ่ง
จึงลุกขึ้นไปฉวยเอาพานเก่าๆที่วางอยู่บนหิ้งพระออกมา
ในพานมีห่อผ้าขาว ข้างในห่อผ้าเป็นแผ่นจารอักขระทองคำโบราณ ไม่ทราบว่าเป็นของใครสมัยใด
ตัวอักขระเป็นภาษาที่อาจารย์สิงห์อ่านไม่ออก เคยให้ผู้รู้ในศาสตร์วิชาภาษามากมายหลายคนช่วยอ่าน ก็ไม่สามารถอ่านได้ ไม่ทราบว่าเป็นภาษาอะไร
เมื่อส่งแผ่นจารทองคำให้ปู่คำผุกรับไปถือไว้ในมือ
เหตุอัศจรรย์พลันอุบัติขึ้นฟ้าผ่าเปรี้ยงเสียงสนั่นลั่นโดยพลัน
ผ่าลงมาแถวๆนั้นเป็นฟ้าผ่ากลางแดดที่ผิดธรรมชาติ ผ่าโดยไม่มีเมฆฝน ผ่าลงมากลางไอร้อนของแดดแผดจ้าแรงกระเทือนของฟ้าที่ผ่า ถึงทำเอาปู่คำผุกสลบเหมือด
หลังจากฟื้นขึ้นมา
เรื่องแปลกประหลาดทีใครก็คาดไม่ถึง ก็เกิดขึ้นด้วยปู่คำผุกเปลี่ยนกลายไปเป็นคนละคน
ปู่คำผุ กได้เรียกเอาแผ่นจารทองคำนั้นมาถือไว้ในมืออีกครั้ง
แล้วบอกว่า แผ่นจารนี้เป็นของปู่คำผุกทำไว้เป็นร้อยชาติมาแล้ว
ถ้อยคำที่เขียนไว้ในนี้เป็นเสมือนคำสาปแช่ง
ผู้ใดครอบครองไว้จะต้องได้ยาก จะตกทุกข์ลำบากแสนเข็ญตลอดชีวิต
หลังจากนั้นก็อ่านและแปลข้อความในแผ่นจารให้อาจารย์สิงห์ฟัง อย่างคล่องแคล่วชำนาญปานโกหก
นอกจากนี้ปู่คำผุกยังย้ำยังสั่งอีกว่า ให้อาจารย์สิงห์เอาแผ่นจารนี้ไปคืนไว้ที่เก่า หรือเอาไปฝังไว้ฝังไว้ในโบสถ์
ถ้าทำตามนี้แล้ว ชีวิตที่เปี่ยมทุกข์ของอาจารย์สิงห์จะกลับเป็นสุขดังเดิม
จากนั้นก็ลุกขึ้นจะกลับวัด
“อ้าว..เณร จะไม่เรียนอ้อน้ำไหลแล้วหรือไร” อาจารย์สิงห์เอะอะ
“ไม่เรียน..เฮารู้หมดแล้ว” อาจารย์คำผุกตอบอย่างไม่ใยดี
นี่เป็นเรื่องแปลก ที่อาจารย์สิงห์เห็นว่าไม่ใช่เรื่องปกติธรรมดา
ชะรอยจะเป็นเหตุอัศจรรย์อะไรสักอย่างที่ยังไม่ทราบแน่ชัด ยังสรุปไม่ได้จึงหาทางทัดทานปู่คำผุ กไว้ก่อนไม่ยอมให้กลับ
“นี่ก็จวนมืดแล้ว ขอให้เณรพักที่นี่สักคืนตามที่ข้าน้อยตั้งใจแต่แรกเถอะ พรุ่งนี้จะกลับก็ไม่ว่า”
ปู่คำผุ กขัดไม่ได้จึงยอมพักค้างคืนที่บ้านตามคำร้ องขอของอาจารย์สิงห์ระหว่างนั้นพวกชาวบ้านเริ่มระแคะระคายเหตุการณ์ฟ้าผ่าบ้านอาจารย์สิงห์จึงชวนกันมาดู
ในที่สุดก็มารวมตัวกันอยู่ที่บ้านอาจารย์สิงห์เป็นจำน วนมาก
คงเห็นแปลกที่เณรตาบอดปรากฏตัว ทั้งยังมีเรื่องพิลึกที่เกิดขึ้นหลังฟ้าผ่าน่าสนใจติดตาม
อาจารย์สิงห์เองได้ป่าวประกาศกับชาวบ้านว่าเณรตาบอดรูปนี้ ท่าจะเป็นผู้มีบุญ ควรที่จะต้องจับตาดูเอาไว้เผื่อจะได้เห็นอะไรดีๆ