หลวงปู่คูณ สิริจันโท วัดป่าทรงธรรม

หลวงปู่คูณ สิริจนฺโท ชื่อเดิมชื่อ คูณ ภูพวง เกิดเมื่อวันที่ ๑๖ มกราคม พ.ศ.๒๔๗๕ ณ บ้านกอก อำเภอเขื่องใน จังหวัดอุบลราชธานี

หลวงปู่เล่าว่า เริ่มออกบวชครั้งแรกเมื่อายุ ๒๑ ปีบริบูรณ์ ที่วัดบ้านกอก อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี ตัดสินใจบวชเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่บิดามารดาในการบวชครั้งนี้ หลวงปู่ได้ลาสิกขาเมื่อวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ.๒๕๐๓ รวมระยะเวลาการบวชครั้งนี้ ๗ พรรษา

ได้ไปแต่งงานกับนางกาบแก้ว มีบุตรธิดารวมกัน ๔ คน จนกระทั่งปี พ.ศ.๒๕๒๘ จึงได้ลาครอบครัวออกจากบ้านเพื่อแสวงหาโมกข์ธรรม เมื่อวันที่ ๓ มกราคม พ.ศ.๒๕๒๘ รวมระยะเวลาการครองเรือนเป็นเวลา ๒๖ ปี

หลังจากนั้นท่านก็ได้อุปสมบทอีกเมื่อวันที่ ๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๙ ที่วัดป่าบึงเขาหลวง อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี ขณะมีอายุ ๕๔ ปี

การบวชคราวนี้ทำให้อาตมาเห็นว่า ครั้งก่อนได้มีการหลงผิดอยู่ คราวนี้การปฏิบัติ ได้ใช้วิธีการเดินสมาธิ และการเดินปัญญาไปพร้อมๆ กัน ทำให้สามารถรู้เท่าทันตามความเป็นจริง เพราะตัวปัญญาเป็นเครื่องประหารกิเลสมาร ดังนั้นสติและปัญญา จึงเป็นเครื่องตรัสรู้ของธรรมทั้งปวง

เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๐ หลวงปู่ได้ธุดงค์มาจำพรรษาที่ป่าช้าบ้านสามขัว เป็นเวลา ๑ พรรษา แล้วได้ออกธุดงค์ไปที่ต่างๆ จนกระทั่งปี พ.ศ.๒๕๓๔ จึงได้กลับมาจำพรรษาที่ป่าช้าบ้านสามขัวอีกครั้ง ได้สร้างที่พักสงฆ์วัดป่าทรงธรรมขึ้น โดยหลวงปู่ได้อยู่จำพรรษาที่แห่งนี้เป็นเวลาทั้งสิ้น ๑๘
ปี

โอวาทจากหลวงปู่

“..ใจของเรามีหน้าที่เพียงแต่รู้ไว้เท่านั้น ไม่มีหน้าที่ที่จะเข้าไปยึดไปถือเอาสิ่งอื่นมาเป็นอารมณ์..”

“..ตายเพื่อชาติของอริยะ ตายเพื่อศาสนาของพุทธะ ตายเพื่อธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า..”

“..สุขที่แท้จริง คือว่างจากความมีความเป็นทั้งหมดไม่มีเหลือ เป็นความสุขที่ยั่งยืนอยู่ตลอดกาล..”

“..ความว่างของใจ

จุดจบที่แท้จริงคือความว่างของใจ
ใจจริงๆไม่มีอยู่กับสิ่งที่รู้

สิ่งที่รู้ทั้งหมดไม่มีอยู่ที่ใจ

ใจหรือว่าผู้รู้นั้นอยู่เหนือสิ่งที่รู้มาทั้งหมด
สิ่งที่รู้ทั้งหมดยังไม่ใช่ความว่างของใจ
นี้แหละคือความดับทุกข์สุดแค่นี้เอง
เรื่องของธรรมและใจ เมื่อเรียนรู้จบแล้วจะอยู่อย่างไร

ธรรมก็อยู่กับธรรม ใจก็อยู่กับรู้ เป็นไปตามปกติของใจ..”

“..ธรรมทั้งหลายรวมลงอยู่ที่สติ ที่แสดงให้ใจรู้คือธรรมทั้งหมด ใจมีหน้าที่รู้อย่างเดียว ไม่เกี่ยวกับการแสดง..”

“..ได้รู้จักคำว่าดูธรรม รู้ธรรม เห็นธรรม เป็นธรรม อย่างถูกต้องตามธรรมจริงๆ แล้วจึงเห็นคุณค่าของธรรม ว่าเป็นของจริงอันประเสริฐ เหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด เราจึงได้เคารพ พระธรรมเหนือสิ่งอื่นใดทั้งหมด..”

“..ความว่างเป็นปกติของใจ ที่ไม่มีกิเลส กิเลสทำให้ใจขุ่นมัว เพราะความเห็นผิด จิตไปติดอยู่กับสิ่งที่เราเห็น ขาดสติปัญญา ไม่ได้สำรวมตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ปล่อยให้ออกไปตามสิ่งที่รู้..”

บันทึกสุดท้ายของหลวงปู่บอกเอาไว้ว่า เราจะพูดธรรมะให้รู้ว่า ถ้าหากว่าถึงเวลาเราตาย ไม่ต้องไปเปิดธรณีกรรแสงนะ เพราะจะทำให้คนฟังเศร้าสะเทือนใจ เกิดความห่วงใยคิดถึงทำให้ทุกข์เกิดขึ้น เราไม่ต้องการให้คนอื่นเป็นทุกข์กับเรา ทุกข์มันมีประจำตัวทุกๆ คนมากอยู่พอแล้ว ยังจะมาเก็บเอาทุกข์จากคนอื่นไปเพิ่มเข้าอีกทำไม

เรื่องของความตาย มันก็มีมาประจำตัวอยู่แล้ว ใครๆก็ต้องตายกันทั้งนั้น จะไปเสียใจกับซากศพของสกปรกเน่าเหม็นทำไม ให้ช่วยกันเอาไปเก็บไว้ให้มิดชิดเพื่อการเหม็น จะเป็นประโยชน์ดีกว่า เราไม่อยากให้ใครร้องไห้ให้เสียน้ำต ากับของเน่าเหม็นไม่เป็นประโยชน์เลย

ให้เราทบทวนดูตัวของเราเองจะดีกว่า ว่าเราก็ต้องถึงความเป็นอย่างนี้เหมือนกัน ให้พวกเราใช้สติปัญญาพิจารณาดูตัวของเราเองว่า เราจะทำอย่างไร เราจึงจะหลุดพ้นจากความเป็นอย่างนี้ไปได้ เพราะความตายมันมีมาแต่เกิด ถ้าเราไม่เกิดเราก็ไม่ตาย (บันทึกฉบับนี้หลวงปู่คูณเขียนก่อนมรณภาพประมาณ ๑๐ วัน)

หลวงปู่คูณ สิริจันโท ได้ละสังขารด้วยอาการสงบ รวมเวลาที่อยู่ในเพศบรรชิตทั้งสิ้น ๒๓ พรรษาและคณะศิษยานุศิษย์ได้ร่วมกันจัดพิธีประชุมเพลิงสรีระองค์หลวงปู่ขึ้นในวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๒ เวลา ๒๒.๐๐ น. ณ    วัดป่าทรงธรรม บ้านสามขัว – ดอนสวรรค์ ต.ดงเย็น อ.เมือง จ.มุกดาหาร

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสบการณ์ของผู้ใช้ให้ดียิ่งขึ้น คลิกอ่าน นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า