หลวงพ่อลา ชัยมงฺคโล ท่านมีนามเดิมว่า ลา สายสมบัติ เกิดเมื่อวันที่ ๑๗ มกราคม พ.ศ.๒๔๒๘ เดือนยี่ ปีระกา สมัยรัชกาลที่ ๕ ณ ต.คล้อทอง อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี มีบิดาชื่อ นายโม้ มารดาชื่อ นางแจ่ม สายสมบัติ มีพี่น้องร่วมบิดามารดา ๕ คน หลวงพ่อลาเป็นคนที่ ๔ ประกอบอาชีพชาวนา
หลวงพ่อมีนิสัยฝักใฝ่ทางธรรมตั้งแต่อายุยังน้อย ครั้นอายุได้ ๑๕ ปี ก็ได้บรรพชาเป็นสามเณร ณ วัดคล้อทอง ต.คล้อทอง อ.เขื่องใน จ.อุบลราชธานี
เมื่ออายุได้ ๒๐ ปี จึงได้อุปสมบทต่อ สำเร็จเป็นพระภิกษุตามพระวินัยบัญญัติ ฉายานามว่า “ชัยมงฺคโล”
จากนั้นก็อยู่วัดคล้อทองได้หลายพรรษาจนพ้นนวกะแล้ว จึงได้รุกขมูลไปทางชายแดนไทย-ลาว เข้าสู่แขวงสวันเขต ประเทศลาว (ซึ่งขณะนั้นยังอยู่ในการปกครองของประเทศไทย) ระหว่างที่พำนักอยู่ที่แขวงสวันเขตนี้ ได้มีโอกาสศึกษาวิชาอาคามต่างๆตามสมัยนิยม ขณะนั้นท่านได้พบกับหลวงปู่ผู้เฒ่ารูปหนึ่ง และได้เรียนวิชาการทำน้ำมนต์ประกอบเทียน เป็นวิชาสำคัญที่ทำให้ท่าน มีชื่อเสียงอย่างยิ่ง
กว่าที่ท่านจะสำเร็จวิชานี้ครบถ้วนกระบวนความ ต้องไปฝึกบนภูเขาถึง ๕ ปีเต็ม จึงจะได้รับอนุญาตให้นำวิชานี้ไปใช้ได้ คุณวิเศษของวิชาเทียนน้ำมนต์มหัศจรรย์นี้ ถ้าหากผู้ใดได้อาบกินแล้วถือได้ว่า สำเร็จตามความปรารถนาที่ได้อธิษฐานไว้ทุกประการ ถึงแม้ว่ามีความขึ้นโรงขึ้นศาลเรื่องราวปัญหาชีวิตต่างๆ ที่หนักหนาสาหัส ก็จะบรรเทาเบาบางลง ส่วนเรื่องที่ไม่หนักหนาก็จะสูญหายไปอย่างน่าอัศจรรย์
เมื่อสำเร็จวิชาแล้ว ท่านได้กราบลาหลวงปู่ผู้เฒ่ากลับสู่เมืองไทย โดยรุกขมูลผ่านทางอำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี เดินทางเรื่อยๆ จนเข้าสู่เขต จังหวัดสระบุรี และได้เข้าจำพรรษาอยู่ในบ้านช่องเหนือ ต.บ้านป่า อ.แก่งคอย จ.สระบุรี พำนักอยู่ในโบสถ์หลังเล็กๆ มุงด้วยสังกะสีที่ชาวบ้านศรัทธาสร้างถวาย จำพรรษาอยู่หลายปีจนได้ตำแหน่งทางคณะสงฆ์เป็น (พระปลัดลา ชัยมงฺคโล)
ครั้นต่อมาทางวัดแก่งคอยได้ขาดแคลนสมภารเจ้าวัด คณะสงฆ์กับชาวบ้าน จึงได้นิมนต์ท่านมาครองวัดแก่งคอย จนได้ตำแหน่งทางคณะสงฆ์เจริญรุ่งเรือง ขึ้นตามลำดับขั้น โดยได้รับตำแหน่งพระครูชั้นประทวน เมื่อปี ๒๔๗๖ และอีกสองปีต่อมาท่านได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะแขวง อำเภอแก่งคอย และในที่สุดได้เลื่อนชั้นเป็น พระครูสัญญาบัตรที่ (พระครูสุนทรสังฆกิจ) พร้อมกับตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี
หลวงพ่อลา ท่านมีสุดยอดวิชา ทําน้ำพระพุทธมนต์ เทียนชัยไร้น้ำตา ที่แสดงอภินิหารให้เห็น เมื่อท่านจุดเทียนบริกรรมทําน้ำพระพุทธมนต์ โดย น้ำตาเทียน จะไม่ละลายไหลย้อยที่ด้านบนต้นเทียน แต่กลับไหลลงตามไส้เทียนมาออกที่ด้านฐาน
จึงมักจะมีศิษย์คอยเฝ้าแย่งเอา “เทียน” เมื่อเสร็จพิธี บางครั้งยังไม่เสร็จพิธี เทียนละลายแค่ครึ่งต้นก็แย่งกันแล้ว แต่ไม่กี่ครั้งก็เลิก เพราะ ถอนเทียนไม่ออกแต่เมื่อเสร็จพิธี หลวงพ่อลาก็ถอดเทียนอย่างง่ายๆมอบให้ผู้ที่ท่านเห็นควร
ครั้งในสมัยนั้น ท่านได้มีผู้มีจิตเมตตา นำกวางและแพะมาถวายท่านเลี้ยงไว้ที่วัด ท่านได้ลงผ้ายันต์ผูกคอให้กวางและแพะของท่านปล่อยไว้ในวัด เมื่อได้เวลา กวางและแพะออกไปหากินอาหารในตลาด แย่งกินผักผลไม้จากแม้ค้าในตลาด บางคนก็เอาไม้คานตี เอา มี ด ฟั น บางคนถึงกับเอา ปื น ยิ ง แต่ ก็ ยิ ง ไม่ออก ฟั น ไม่เข้า จนเป็นที่เลื่องลือกันไปทั่วว่าแพะและกวาง ของหลวงพ่อลาอยู่ยงคงกระพัน ฟั นไม่เข้า ยิ ง ไม่ออก
ครั้งหนึ่งในสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ทหารญี่ปุ่นได้ใช้แก่งคอย เป็นเมืองท่าลำเลียงพล
เพราะเมืองแก่งคอยมีทั้งแม่น้ำป่าสัก เส้นทางรถไฟ จึงเป็นชัยภูมิที่เหมาะสม ทหารญี่ปุ่นได้ยึดเมืองแก่งคอยเป็นเวลาถึง ๔ ปี จนกระทั้งพันธมิตรได้ใช้เครื่องบิน B24 ทิ้งระเบิดลงเมืองแก่งคอย ที่ทหารญี่ปุ่นประจำการณ์อยู่ วันที่ ๒ เมษายน พ.ศ.๒๔๘๘
แน่นอนว่า ระเบิดก็ต้องลงในแหล่งชุมชนเมืองแก่งคอย แม้ทหารญี่ปุ่นจะสูญเสียไป เป็นจำนวนมาก ประชาชนและเมืองแก่งคอยก็สูญเสียเช่นกัน แต่ก็น่าอัศจรรย์ยิ่งเมื่อชาวเมืองรอดชีวิตอย่างปาฏิหาริย์
เมื่อหลบลูกร ะ เ บิ ดในวัดแก่งคอย
และมีลูกร ะ เ บิ ด ลูกหนึ่งลงมาตกในวัด แต่ไม่ ร ะ เ บิ ด ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นอิทธิฤทธิ์หลวงพ่อลา ที่ชาวบ้านเมืองแก่งคอยเคารพนับถือช่วยปกป้องภัยในครั้งนี้ ลูกร ะ เ บิ ด ลูกนั้น ยังอยู่ที่วัดแก่งคอยเป็น อนุสรณ์สถานลูก ร ะ เ บิ ด เตือนใจ ให้ระลึกถึงเหตุการณ์ที่มีการสูญเสียในครั้งจนถึงปัจจุบัน
ภายหลังต่อมาเมื่อปี พ.ศ.๒๕๐๗ ทางวัดทำการก่อสร้างอุโบสถหลังใหม่ แทนหลังเก่าที่ชำรุดทรุดโทรม ในปีพ.ศ.๒๕๐๖ ทางวัดได้ทำการขุดรอบฐาน พระอุโบสถหลังเก่าเพื่อจะรื้อถอน ในวันหนึ่งเวลาเที่ยงทางโรงเรียนได้ให้นักเรียนพักเที่ยง ได้มีเด็กกลุ่มหนึ่งได้พากันมาวิ่งเล่นซ่อนหารอบอุโบสถที่ กำ ลั งก่อสร้างอยู่นั้น ขณะที่เด็กกำลังเล่นกันอย่างเพลิดเพลินนั้น
เหตุการณ์ที่ไม่ได้คาดคิดก็เกิดขึ้น อุโบสถทั้งหลังได้ลมครืนลงมาทับเด็กที่เล่นซ่อนหากันอยู่นั้น เด็กบางคนได้วิ่งไปบอกครู ให้ทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คณะครูจึงได้ตีระฆังเช็คดูนักเรียนว่ามีใครอยู่ และมีใครสูญหายบ้าง เมื่อเช็คดูแล้วได้มีเด็กหายไปหนึ่งคน คือ (เด็กชายไพบูลย์ ภู่อ่อนนิ่ม)
คณะครูและพระสงฆ์ในวัดได้มาค้นหาเด็กคนนั้นในที่พระอุโบสถพังลงมา หาอยู่เป็นเวลานานก็ได้ยินเสียงเด็กร้องขอความช่วยเหลือ คณะครูและพระสงฆ์ได้ช่วยกันงัด และยกก่อนปูนที่พังทับอยู่นั้นออก ก็ได้พบเด็กนอนอยู่ใต้นั้น ตรวจร่างกายของเด็กแล้วก็พบว่า ไม่ได้รับบาดเจ็บเลย
เด็กได้บอกกับ (หลวงพ่อพระครูสมบูรณ์ ศีลวัตร) ว่า ได้มีหลวงพ่อแก่ๆ มาช่วยดันก่อนปูนเอาไว้ เมื่อดูที่คอของเด็กชายไพบูลย์ ก็ปรากฏว่ามี (เหรียญหลวงพ่อลารุ่นแรก) แขวนอยู่ที่คอของเด็กคนนั้น จึงเชื่อได้ว่า อภินิหารของเหรียญหลวงพ่อลาได้ช่วยให้เด็กชายไพบูลย์ ภู่อ่อนนิ่ม รอดชีวิตจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น จนเป็นที่กล่าวขานเลื่องลือไปทั่ว
อภินิหารของหลวงพ่อลาที่มีต่อ (นายสวัสดิ์ หริญเดช) คือได้ถูกรถชนกระเด็นไปอยู่บนหน้ากระโปรงรถ แต่ก็ไม่ได้รับอันตรายใดๆ เพราะท่านได้มีแหนบและผ้ายันต์ของหลวงพ่อลาพกติดตัวอยู่ จึงได้รับความคุ้มครองปลอดภัยด้วยปาฏิหาริย์ของหลวงพ่อลา
หลวงพ่อลา ท่านได้ถึงแก่มรภาพลง เมื่อวันที่ ๔ พฤษจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๗ สิริอายุ ๗๑ ปี ๕๐ พรรษา พระราชทานเพลิงศพ เมื่อวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๙๘ เวลา ๑๔.๓๐ น. ณ เมรุลอยวัดแก่งคอย