พระเถราจารย์ท่านนี้ยึดถือธุดงค์เป็นวัตรตลอดเวลา ๙ เดือนของกาลออกพรรษาเป็นเวลานับ ๑๐ ปี
ตลอดเวลาอันยาวนานซึ่งหลวงปู่หลอดจาริกสู่ป่าเขาอันเปล่าเปลี่ยว ห่างไกลจากผู้คนพลุกพล่านและร้อนเร่าด้วยไฟกิเลส ก็เพื่อพารูปกายสังขารนี้ไปสู่ความวิเวก
มุ่งหน้าฝึกจิตด้วยการปฏิบัติสมณธรรมอย่างอุกฤษฏ์ มุ่งมั่นตัดขาดปวงกิเลสทั้งหลายซึ่งเกาะติดจิตวิญญาณข้ามภพข้ามชาติเหลือที่จะนับมาแล้วให้จงได้
และในห้วงเวลาดังกล่าวนั้น หลวงปู่หลอดได้เผชิญกับประสบการณ์ซึ่งไม่ผิดกับพลังแห่งสัจจธรรมที่หล่อหลอมดวงจิตให้แข็งแกร่งภายใต้สติอันมั่นคง
ดังเช่นการเผชิญกับเสือเป็นครั้งแรกในชีวิตของท่าน
“เ สื อ” …เ ด รั จ ฉ านผู้ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็น “จ้าวป่า” คือสัตว์กินเนื้อที่น่ากลัวที่สุด
อานุภาพน่าพรั่นพรึงสุดขีดของมันจะปรากฏให้เห็นขณะออกล่าเหยื่อหรือได้รับบาดเจ็บ หรือจนตรอก
เพียงแค่เสียงเสือคำรามสะท้อนสะท้านมาให้ได้ยิน ส่ำสัตว์ในป่าดิบดงลึกก็แตกตื่นหนีกันกระเจิง
ว่ากันว่า ขนาดลิงอยู่บนยอดไม้สูงลิบ เสืออยู่บนพื้นดินโคนต้นไม้เพียงแค่เสือแผดเสียง คำรามสนั่น ลิงถึงกับมืออ่อนตีนอ่อนด้วยความหวาดกลัวสุดขีด หล่นลิ่วลงมาให้เสือตะปปกินง่ายๆเสียยังงั้นแหละ
แม้แต่สัตว์มนุษย์เช่นเราท่านก็เถอะ ต่อให้มีอาวุธปืนทรงอานุภาพสังหารเฉียบขาดในมือ ก็ยังไม่กล้าบังอาจประจันหน้ากับเสือตรงๆ
ขนาดเสืออยู่ในกรงยังอดแหยงมันไม่ได้
แต่…หลวงปู่หลอดท่านเคยเผชิญกับเสือมาแล้ว และประจันหน้าห่างกันไม่ถึง ๒ วาเสียด้วยซ้ำ
ครั้งนั้น…หลวงปู่หลอดเพิ่งจะออกธุดงค์เป็นครั้งแรก โดยเริ่มต้นที่จังหวัดอุดรธานี เดินลัดตัดป่าไปทางอำเภอหนองบัวลำภู ทะลุออกบ้านหนองภัยศูนย์ บ้านกกคร้อ กระทั่งมาถึงบ้านผาวัง
ฝังตัวเองอยู่บนพื้นที่ของป่าซึ่งยังอุดมสมบูรณ์ และชุกชุมด้วยสัตว์ป่า โดยเฉพาะ “เสือ” ปรากฏโฉมให้เห็นเป็นประจำ
หลวงปู่หลอดเลือก ทำเลปักกลดในที่อันสงบสงัดแล้วเร่งกระ ทำความเพียรทั้งกลางวันและกลางคืน ใกล้ๆกับกลด หลวงปู่ทำ ทางเดินจงกรมเอาไว้เพื่อสลับกิริยานั่งภาวนามาเป็นยืนและเดิน
คืนนั้น…เลยเวลาเที่ยงคืนแล้ว หลวงปู่หลอดเปลี่ยนจากนั่งภาวนามาเป็นเดินจงกรม โดยจุดโคมเทียนแขวนไว้ที่ข้างทางเดินพอสว่างรำไร ขณะที่กำ หนดกิริยาก้าวเดินโดยมีสติรับรู้ทุกเสี้ยวความเคลื่อนไหว พลันนั้น
เสียงเสือก็คำรามโฮกสนั่นขึ้นมาใกล้ๆ แล้วร่างของเสือใหญ่ลายพาดกลอนได้เยื้องย่างออกมาจากเงามืดข้างๆทางเดินจงกรม
ความตื่นตระหนกและหวาดกลัวสุดขีดจู่โจมโถมกระแทกหลวงปู่หลอดชนิดไม่เคยเจอมาก่อน ความรักตัวก ลัว ต า ยไม่รู้ว่ามาจากไหน อารมณ์พรั่นพรึงของจิตนี้เล่นงานสติเสียจนย่อยยับป่นปี้
ถ้าเป็นคนธรรมดาทั่วไป
หากตกอยู่ในภาวะที่เสือ กำลังจะเข้ามาตะปปขบขย้ำเห็นๆอยู่ห่างไม่ถึง ๒ วา ก็คงสติแตกเพราะความกลัวไปแล้ว
สำ หรับหลวงปู่หลอดผ่านการฝึกจิตควบคุมสติมาพอสมควร จึงเสียศูนย์ไปแค่วูบเดียว
วูบหนึ่งที่กลัวจนเลยขีดสุด ความกลัวก็ดับวูบไปเหลืออยู่แต่ตัว “สติ” จะอยู่หรือ ต า ยก็ ไม่สำคัญอีกต่อไป จิตวูบเข้าไปยึดเหนี่ยวพระบารมีของพระพุทธเจ้าแนบแน่น คิดอยู่แต่ว่าถ้ามีกรรมกับเสือตัวนี้มาก่อนก็ให้มัน ฆ่ า มั นกินไปเสียเถอะ จะได้ชดใช้หนี้เวรหมดสิ้นกันเสียที
แล้วหลวงปู่ก็หลับตาปิดสนิท พุ่งจิตไปที่คำภาวนา “พุทโธ” กำหนดลมหายใจเข้าออกตามแนวทางอานาปานสติ จิตก็ดิ่งสู่ความสงบอย่างรวดเร็ว
ไม่รับรู้ว่ามีเสืออยู่หรือไม่ ไม่มีความเป็นความ ต า ย ห ลงเหลืออยู่แต่อย่างใด
จิตสงบเงียบอยู่เช่นนั้นเนิ่นนาน
กระทั่งใกล้เวลาเกือบฟ้าสาง จิตจึงค่อยคลายออกจากสมาธิ ลืมตาขึ้นดูปรากฏว่าเสือหายไปแล้ว ไม่รู้ว่าเสือมันหายไป ทางไหนและไปเมื่อไหร่ หลวงปู่หลอดก็บังเกิดธรรมปีติอย่างล้นพ้น
รู้แล้วว่าอานุภาพแห่งสมณธรรมนั้นทรงพลังสุดจะประมาณได้
รู้แล้วว่ากฎแห่งกรรมนั้นเป็นเช่นไร
และรู้แล้วว่าวิถีทางที่จะปฏิบัติสืบต่อไปเบื้องหน้านั้นควรกระ ทำอย่างไร
หลายพรรษาผ่านไป…กระทั่งถึงกาลออกพรรษาหนึ่ง หลวงปู่หลอด ปฏมทิโต ได้จาริกธุดงค์ไปกับ หลวงปู่บัวพา ปัญญาพาโส แห่งวัดพระสถิตย์ อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย เพียง ๒ รูปโดยมุ่งหน้าไปทางบ้านนาศรีนวลผ่านบ้านห้วยหีบ บ้านนาตะงอย บ้านจันทร์เพ็ญ
จากนั้นก็ถึงบ้านควนปุ่น
บ้านควนปุ่นแห่งนี้อยู่ติดเชิงเขา ภูมิประเทศเป็นป่าดงกันดาร ชาวบ้านทำไร่ทำนหาเลี้ยงชีวิตไปตามประสา เมื่อหลวงปู่หลอด หลวงปู่บัวพามาถึงเชิงเขาบ้านควนปุ่นจึงได้ปักกลดอยู่ห่างจากหมู่บ้านตามสมควร
ด้วยเห็นเป็นสถานที่ร่มรื่นสงบสงัดเย็นกายเย็นใจ และเหมาะสมที่จะกระทำความเพียรสักระยะหนึ่ง
ชาวบ้านควนปุ่นเห็นพระธุดงค์กรรมฐานมาปักกลด บำเพ็ญธรรม ก็พากันมากราบไหว้หลายคน ในจำนวนนี้มีหญิงวัยกลางคนชื่อ “คำต้น” รวมอยู่ด้วย
แม่คำต้น แนะนำตัวเองว่าเป็นคนทรงผีประจำหมู่บ้าน เวลาชาวบ้านมีเรื่องราวเดือดร้อนอะไร หรือเกิดเจ็บไข้ได้ป่วยก็จะมาหาแม่คำต้น ให้แม่คำต้นเข้าทรงผี แล้วผีที่ สิง ร่ างจะให้คำแนะนำต่างๆให้กลับไปปฏิบัติ
ซึ่งก็ต้องมีการจัดหาเครื่องเซ่นสังเวยต่างๆมาบูชาผีให้ผีได้เสพทุกครั้งไป
แม่คำ ต้นเล่าถวายพระธุดงค์กรรมฐานต่อไปอีกว่าเป็นคนทรงผีนี้ ลำบากทรมานเหลือเกิน จะทำ อะไรก็ต้องระมัดระวังไปหมดทุกสิ่งทุกอย่างเพราะกลัวจะผิดผี
เวลาทำผิดผีคราวใดผีก็จะเข้าสิงจนหมดสติไม่รู้สึกตัว ผีต้องการให้ทำอะไรก็ต้องทำตามที่ผีบัญชาทุกอย่ง ไม่มีความสุขสบายเช่นคนธรรมดาทั่วไปแม้แต่น้อย เพราะผีที่เข้าสิงไม่ได้มีตัวเดียว หากมีผีหลายตัวคอยรบกวนไม่ได้หยุด
แม่คำต้นถามหลวงปู่หลอดและหลวงปู่บัวพาว่า ท่านทั้งสองพอจะช่วยเหลืออย่าให้ผีเข้าสิงได้หรือไม่ อยากให้ไล่ผีออกไปจากร่างไม่ต้องการให้ผีมากระทำ เช่นที่ผ่านมาอีก
หลวงปู่หลอดจึงถามว่า “โยมคิดอย่างไร ถึงไม่อยากเป็นคนทรงต่อไปอีกล่ะ”
แม่คำต้นตอบว่า “…เกิดจากข้าน้อยฝันประหลาดเหลือหลาย คือในคืนหนึ่งกำลังหลับสนิท ฝันว่าข้าน้อยอยู่ในห้องหนึ่ง มีประตูสองบานอยู่คนละฟาก ประตูหนึ่งมีชายร่างสูงใหญ่ดำมืดไปทั้งตัวยืนอยู่ อีกประตูหนึ่งมีพระแก่ชรารูปหนึ่งยืนอยู่
ชายสูงใหญ่ตัวดำมืดบอกให้ตามเขาไป พระผู้เฒ่าก็บอกให้ตามท่านไปเช่นกัน ในฝันนั้นข้าน้อยก็เกิดความลังเลไม่รู้ว่าควรจะไปกับใครดี ในที่สุดก็เชื่อว่าพระต้องดีกว่าผีแน่ จึงตัดสินใจไปกับพระ จากนั้นได้ตกใจตื่น…”
แม่คำต้นเชื่อมั่นว่าความฝันต้องเป็นความจริงแน่ๆ เพราะเพิ่งฝันเมื่อคืนนี้เอง พอล่วงเข้าตอนบ่ายพระธุดงค์คือหลวงปู่หลอดกับหลวงปู่บัวพาก็มาถึงหมู่บ้าน แม่คำต้นได้ขอให้หลวงปู่หลอดเมตตาช่วยเหลือด้วยเถิด
หลวงปู่หลอดได้ปรึกษากับหลวงปู่บัวพาว่าพอจะช่วยโยม คำต้นได้หรือไม่
เพราะหลวงปู่บัวพานั้นท่านเก่งทางพุทธาคมไสยเวท มีความชำ นาญในการสงเคราะห์ญาติโยมที่ถูกผีเข้าสิงหรือถูกกร ะทำทางคุณไสย
หลวงปู่บัวพาบอกว่าถ้ามีหลวงปู่หลอดช่วยอีกแรงหนึ่งก็คงสงเคราะห์ให้ได้
แม้วิญญาณจะกล้าแข็งสักเพียงใดก็คงไม่อาจต้านทานกระแสจิตของสมณะถึงสองรูปได้แน่นอน
ดังนั้นหลวงปู่หลอดจึงบอกให้แม่คำ ต้นมาทำ พิธีในวันรุ่งขึ้นแล ะกำชับให้พาลูกหลานมาด้วยหลายคน เพราะเวลาวิญญาณที่สิงร่างอาละวาดจะมี กำลังแรงเกินคนธรรมดาหลายเท่า