มีเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้นกับ “เสี่ยเจ้าของบ่อดินลูกรัง” มีชื่อว่า “นายแจ่ม สังข์งาม” หรือที่ชาวอำเภอเดิมบางนางบวชเรียกขานว่า “เสี่ยโห้” ปัจจุบันอายุ ๕๓ ปี
ซึ่งวันนั้นวันที่เกิดเหตุ “เสี่ยโห้” นั่งดื่มสุราอยู่กับพรรคพวก ๒ คนที่ร้านข้าวต้ม “เฮียฮ้อ” ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ “สถานีรถเมล์” สายเดิมบางนางบวช ต.ท่าช้าง อ.เดิมบางนางบวช เวลาประมาณ ๒๒.๐๐ น.
หลังจากดื่มกินกันไปหลายขวดเพื่อนสองคนเมาจน “หลับพับคาโต๊ะ” จึงเหลือ “เสี่ยโห้” คนออกตังค์นั่งโจ้อยู่คนเดียว
ระหว่างกำลังดื่มเพลิน ๆ อยู่นั้นพลันก็มี “มี ด ดาบ” ฟั นฉับลงบน “ลำคอเสี่ยโห้” ทางด้านหลังเต็มแรงยังผลให้ “เสี่ยโห้” หัวทิ่มลงไปกับพื้นพร้อมกับบังเกิดความมึนงงอยู่ชั่วขณะ
พอตั้งสติได้จึงหันไปมองผู้ที่ย่องมาลอบ ทำ ร้ า ย ก็พบเห็นเป็น “นายซีน” (ขอสงวนชื่อจริง) ลูกชายของ “ร้านตัดกางเกง” ซอยตลาดบนในตลาดท่าช้างนั่นเองซึ่งเป็นคนรู้จักกันดียืนผงาด
“มือกำดาบ” ขาววับเล่มใหญ่กำลังเงื้อดาบหมาย “ฟั น ซ้ำ” อีก “เสี่ยโห้” เห็นเช่นนั้นรีบลนลานลุกขึ้นวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนด้วยความกลัวท่ามกลาง “สายตาของชาวบ้าน” ที่เห็นเหตุการณ์หลายสิบคน
“เสี่ยโห้” ที่วิ่งแบบไม่คิดชีวิตตามแบบฉบับของคน “หนี ต า ย” ไปได้ชั่วครู่ก็วิ่งไปชนเอารถเมล์ที่จอดอยู่ที่ “ท่าจอดรถ” เสียงดังสนั่นผลก็คือตัวเอง “ล้มกลิ้งกับพื้น” ทำให้ “นายซีน” ที่วิ่งไล่กวดมาติด ๆ พอเห็น “เสี่ยโห้” ล้มกลิ้งอยู่กับพื้นจึงใช้มี ด ด าบเล่มที่ถืออยู่ในมือ “แ ท งเสี่ยโห้” แบบไม่ยั้งกระทั่งด า บเล่มนั้น “หั ก ค ามือ” ท่ามกลางสายตาของ “ไทยมุง” ที่เรียงรายมาล้อมวงดูเหตุการณ์
ระหว่างนั้น “จ่าธง” แห่ง “สภ.เดิมบางนางบวช” ได้ยินเสียงคนเอะอะจึงวิ่งมาดูเหตุการณ์พร้อมทำการ “ระงับเหตุ” ก็พบว่าผู้ถูกทำร้ายนอนสลบเหมือดอยู่กับพื้นแล้วจึงจับ “นายซีน” ไปโรงพักทางด้านเพื่อนร่วมดื่มของ “เสี่ยโห้” ที่บัดนี้หายเมาแล้วกลับคิดว่าเสี่ยโห้ถูก มี ด แท งต า ยแล้วจึงช่วยกันหามร่างเสี่ยโห้ไปยัง “ศาลาวัดท่าช้าง” จากนั้นก็ไปแจ้งข่าว “คุณพ่อคุณแม่” ของ “เสี่ยโห้” ให้ทราบเรื่อง
ซึ่งพอทราบเรื่อง “คุณพ่อคุณแม่” ของเสี่ยโห้รีบรุดไปดูลูกชายทันทีแต่พอไปถึง “ศาลาวัดท่าช้าง” ก็เห็นลูกชาย “ลุกนั่ง” แต่อยู่ในสภาพ “โงนเงน” เต็มทีเลยตกใจเพราะตามคำของผู้ไปบอกนั้น “ลูกชาย” ถูกแท ง ต า ย แล้วจึงตรงไปสำรวจตรวจดูตามร่างกายปรากฏว่า “ลูกชาย” ไม่มี “รอยแผล” ใด ๆ เลยเพียงแต่ที่ “คอด้านหลัง” มีรอยแดงเป็นทางยาวปูดนูนออกมาให้เห็นชัดเจน
ส่วนลำตัวที่ถูกถอดเสื้อออกแล้วพบว่ามี “รอยขีดข่วน” เต็มไปหมดที่ด้านหลังโดยที่ “พระเลี่ยมทอง” พร้อม “สร้อยคอทองคำ” ที่ใช้แขวนพระเป็นเพื่อนที่ช่วยหามเสี่ยโห้เก็บเอาไว้ก็พบว่าเป็น “สร้อยคอทองคำหนัก ๓ บาท” ที่อยู่ในสภาพ “ขาดกระจุย” ร่วงตกอยู่ในเสื้อของ “เสี่ยโห้” ที่เกิดจากแรง ฟั นข องดาบส่วน “พระเลี่ยมทอง”
ซึ่งก็คือ “เหรียญหลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่” รุ่น “วางศิลาฤกษ์” ปี ๒๕๐๗ ที่มีเพียงเหรียญเดียวก็ยังอยู่ครบจึงเป็นที่กล่าวขวัญกันในหมู่ผู้ที่เห็นเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า “เสี่ยโห้” ร อ ด ต า ยเพราะ “เหรียญหลวงพ่อมุ่ย” ช่วยไว้แน่นอน
เพราะขณะโดนฟั นโ ด น แ ท ง “เสี่ยโห้” แขวนเหรียญหลวงพ่อมุ่ยเพียง “เหรียญเดียว” ที่แต่เดิมชาวบ้านเรียกว่า “เหรียญ ๕ เสาร์” แต่พอมีเหตุการณ์นี้จึงเรียกเหรียญรุ่นนี้ใหม่ว่า “เหรียญดาบหัก”
อีกรายที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้คือ “วันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑” คนงานก่อสร้างอาคาร “หวาก๊าน” ของ “มัสยิด นูรู้ลเอี๊ยะซาน” ต.บ่อพลับ อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นอาคาร ๓ ชั้นพื้นปูคอนกรีตแผ่น สำเร็จรูป
ระหว่างที่คนงานก่อสร้างชื่อ “นายสมาน ภูฆัง” บ้านเดิมอยู่บ้านเลขที่ ๔ หมู่ ๙ ต.หนองหญ้าไซ อ.หนองหญ้าไซ จ.สุพรรณบุรี กำลังขึ้นไปทำงานปูพื้นคอนกรีตบนชั้น ๓ ที่แผ่นคอนกรีตที่ปูไว้กลับไม่ชนขอบคานหลายแผ่นโดย “นายสมาน” ไม่รู้มาก่อนจึงเดินไปเหยียบเอาปลายแผ่นคอนกรีตขนาด ๓.๔ เมตร หนักแผ่นละ ๒๐๐ กิโลกรัม กระดกขึ้นพร้อมกันหลายแผ่นแล้วไหลพุ่งลงมายังชั้น ๒
ส่วนตัวนายสมานเองก็เสียหลักพลัดตกลงมานอนฟุบอยู่บนพื้นชั้นที่ ๒ ยังผลให้แผ่นคอนกรีตหนัก ๒๐๐ กิโลกรัมนับสิบแผ่นที่ไหลลงมาแล้วแฉลบออก “เฉียดร่าง” นายสมานไปทั้งสอง ข้างท่ามกลางสายตาของเพื่อนร่วมงานนับสิบคู่ ที่หันมามองเป็นตาเดียวเพราะทุกคนเห็นนายสมาน “ร อ ด ต า ยราวปาฏิหาริย์” ซึ่งขณะนั้น “นายสมาน” ก็แขวน “เหรียญหลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่” รุ่น “ฟ้าผ่า” เพียง “เหรียญเดียว”
เช่นกันโดยเหรียญรุ่นนี้ชาวสุพรรณเรียกว่า “รุ่นฟ้าผ่า” เนื่องจากเมื่อหลายปีก่อนชาวนา ตำบลหนอง สะเดา อ.สามชุก แขวนเหรียญรุ่นนี้ที่สร้างเมื่อปี ๒๕๑๖ “เนื้ออัลปาก้า” ไว้ในคอออกไปทำนาท่ามกลางสายฝนเลยโดน “ฟ้ า ผ่ า” ตรงตัวผลก็คือ “สร้อยสเตนเลส” ที่ชาวนาผู้นั้นใช้แขวนเหรียญหลวงพ่อมุ่ย “ละลาย” หมดแต่ “เหรียญ” และ “ตัวคนแขวน” กลับไม่เป็นอะไรจึงสร้างความฮือฮาพร้อมเรียกเหรียญรุ่นนี้ว่ารุ่น “ฟ้ า ผ่ า” ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา