คาถาปลุกพระ ของ หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม ชัยนาท เพียงการนั่งสมาธิจับกระแสพลัง “พระเครื่อง” ด้วยพลังจิต นำองค์พระไว้บนฝ่ามือ หากพระเครื่องนั้นๆ ผ่านการปลุกเสกมาก็จะมีกระแสพลังปรากฏ
หลวงพ่อกวย ชุตินฺธโร มีนามเดิมว่า กวย ปั้นสน เกิดเมื่อวันที่ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๔๘ ปีมะเส็ง
มีฉายาว่า ชุตินฺธโร แปลว่า “โลกนี้มีแต่ความวุ่นวายของโลก หนักไปด้วยกิเลส ตัณหาคือ โลภ โกรธ หลง ทั้งสิ้น ถ้าท่านผู้ใดตัดกิเลส ตัณหาได้ก็จะถึงซึ่งฝั่งพระนิพพาน”
การจับพลังพระเครื่องนั้น มีมาตั้งแต่สมัยโบราณและ มีรูปแบบการใช้อยู่อย่างหลากหลายเพื่อให้ทราบว่าพระเครื่ององค์นี้หรือวัตถุมงคลชิ้นนี้ มีคุณวิเศษด้านใด ไม่ว่าจะเป็น เมตตามหานิยม คงกระพัน แคล้วคลาด ยกตัวอย่าง บางคนจะอาศัยการนั่งสมาธิจับกระแสพลังพระเครื่องด้วยพลังจิต โดยการนำองค์พระไว้บนฝ่ามือ หากพระเครื่องนั้นๆ ผ่านการปลุกเสกมาก็จะมีกระแสพลังปรากฏ ทั้งนี้โดยแยกไปตามความหนักเบาของกระแสพลัง ได้แก่
พลังความหนักหน่วง เป็นคงกระพัน พลังในลักษณะผลักออกเป็นแคล้วคลาด พลังร้อนเป็นเสน่ห์ พลังเย็นเป็นเมตตา หรือใช้วิธีการอื่นๆ ที่นิยมกันคือใช้วิธีการสวดท่องคาถาที่แตกต่างกันไป เช่น คาถาที่ว่าด้วยแม่ธาตุ นะโมพุทธายะ หรือ คาถาของพระเกจิดังอาจารย์ท่านอื่นๆ ที่ได้บันทึกไว้สืบทอดมายังสานุศิษย์และ หนึ่งในนั้นคือ “คาถาปลุกพระ” ที่บันทึกไว้ด้วยลายมือ ของ “หลวงพ่อกวย” พระเกจิอาจารย์ผู้เปี่ยมไปด้วยพุทธาคมแห่งวัดโฆสิตาราม จังหวัดชัยนาท
ก่อนจะใช้คาถานี้ ควรจุดธูปเทียน บอกกล่าวหลวงพ่อกวยก่อนเสมอๆ เพื่อเป็นการขออนุญาตและขอเรียนถึงจะดี เนื่องจากการเรียนวิชาทุกแขนงก็จำต้องมีครูกันทั้งนั้นตั้ง นะโม ๓ จบ
โสทาโย นะโมนะมัสสกาโร โสทายะอิมังคาถา พุทธะมาเรโส ธัมมะมาเรโส สังคะมาเรโส
หัดปลุกเพ่งสมาธิจิตให้แน่วแน่ เมื่อขึ้นจะรู้อภินิหารว่าใช้ทางไหน ดีทางไหน
หลวงพ่อกวย วัดโฆสิตาราม มรณภาพ ในเดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๒ หลวงพ่อได้วงปฏิทิน วันที่ท่านเริ่มเจ็บเอาไว้ด้วยสีน้ำเงิน และวงปฏิทิน วันที่ท่านมรณภาพเอาไว้ด้วยตัวหนังสือสีแดง คือวันที่ ๑๑ มีนาคม และ ๑๑ เมษายน ๒๕๒๒ พร้อมทั้งเขียน พระคาถา นะโมตาบอด ให้ไว้เป็นคาถาแคล้วคลาดและกำบัง หลวงพ่อเขียนว่า อาตมาภาพพระกวย นะตันโต นะโมตันติ ตันติ ตันโต นะโม ตันตัน จะมรณภาพ วันที่ ๑๑ เมษายน เวลา ๗ นาฬิกา ๕๕ นาที
พอวันที่ ๑๑ มีนาคม หลวงพ่อก็ล้มป่วย ไม่มีโรคอะไร เพียงแต่ไม่มีกำลัง ฉันอาหารไม่ได้ ไม่ยอมไปโรงพยาบาล มีอาการไข้แทรก ฉันอาหารแทบไม่ได้เลย ไม่มีรสชาติ บางครั้งท่านพ่นข้าวออกจากปาก ไม่ยอมฉัน แล้วหยิบแผ่นตะกรุดขึ้นมาจาร บางครั้งก็จับสายสิญจน์ ปลุกเสกวัตถุมงคล กลางคืนก็จับสายสิญจน์ปลุกเสกวัตถุมงคล บางคืนถึงสว่าง ร่างกายของท่านปกติก็ผอมมากอยู่แล้วกลับผอมข้าไปอีก
วันที่ ๑๐ เมษายน กลางคืนมีศิษย์มาเฝ้าท่านเต็มไปหมด ตอนเช้ายิ่งมาก เพราะท่านจะมรณภาพ แต่ท่านก็ไม่มรณภาพ ท่านผอมมากมีแต่หนังหุ้มกระดูก มีแต่ประกายตาที่สดใสเท่านั้น จนกระทั่งค่อนสว่างวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๒๒ ทางกรรมการวัดและศิษย์ใกล้ชิดได้ประชุมปรึกษากันว่า สงสัยในกุฏิท่านจะลงอาถรรพณ์เอาไว้ ตลอดจนตำราอักขระเลขยันต์ ตลอดจนรูปครูบาอาจารย์ คงจะไม่มีใครกล้ามารับท่านแน่ อยากเห็นท่านไปดี จึงปรึกษากัน
นำท่านออกมาที่หอสวดมนต์ เมื่อเตรียมที่เสร็จเรียบร้อยแล้ว อุ้มท่านมาจำวัดที่เตียงที่หอสวดมนต์ ท่านลืมตาขึ้นเป็นการสั่งลา ครั้งสุดท้าย แล้วหลับตาพนมมือเกิดอัศจรรย์ ระฆังใบใหญ่ที่หอสวดมนต์ได้ขาดตกลงมา ดังหง่างๆ ดังยาวนาน ศิษย์ที่อยู่ศาลาเข้าใจว่าท่านมรณภาพแล้ว จึงได้ตีระฆัง คือคาดว่ามีคนตีระฆัง เมื่อจับเวลาดู เป็นเวลา ๗ นาฬิกา ๕๕ นาที จับชีพจรท่านดู ปรากฏว่าท่านมรณภาพแล้ว ตรงกับวันที่ ๑๒ เมษายน ซึ่งวันที่ ๑๓ เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ของคนไทยโบราณ ปัจจุบันทางวัดเเละเหล่าบรรดาศิษย์หลวงพ่อจึงยึดเอาในวันที่ ๑๒ เมษายนของทุกปี เป็นวันทำบุญ ประจำปีเพื่ออุทิศและระลึกถึงหลวงพ่อกวย