อีกคราว พระเลขา(เจ้าเก่า)ที่เคยเจอประสบการณ์ น้ำไต่ จนเปียกโชกไปทั้งตัว ก็ได้เห็นครูบาอินท่าน ทําฤทธิ์ ให้ได้ช๊อคซีนีม่าอีกครั้งหนึ่ง โดยคราครั้งนี้ ครูบาอินท่านเอา ลำไย (ที่เป็นเม็ดๆกินหวานๆนั่นแหละครับ)
มาเสกเป่างึมๆงำๆอย่างไม่ทราบเหตุผล ชั้นแรก นึกว่าท่านจะเสกลําไยให้ญาติโยมเอาไปกินเป็นยารักษาโรคภัย แต่ไปๆมาๆที่ไหนได้
จากลำไยธรรดาสามัญ พอครูบาอินท่านคลายมือออกเพียงเท่านั้น จากลําไยก็กลายเป็น แมลงผึ้ง บินกันหึ่งๆให้เห็นกันจะๆต่อสองนัยน์ตาของพระเลขาเลยทีเดียวไม่เชื่อ ก็ต้องเชื่อแล้ว
และเชื่อแน่ได้ว่า หากหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ชัยนาทที่เสกใบมะขามเป็นต่อเป็นแตนยังคงมีชีวิตอยู่ และได้มาเห็นครูบาอินเสกลําไยเป็นแมลงผึ้งได้เห็นปานนี้แล้ว คงจะต้องมีการ แลกวิชา กันอย่างขนานใหญ่เป็นแน่ หรือใครจะเถียงว่าไม่จริง
“เมื่อครูบาอินปราบทายาทอสูร”
เรื่องนี้ เป็นประสบการณ์จริงที่เกิดขึ้นกับตัวของผู้เขียนเอง เรื่องของเรื่องที่มีชื่อเหมือนกับ นิยายหนังผี ส ย อ ง ขวัญ ทา ย า ท อสูร ที่ชาวบ้านชาวเมืองต่างติดกันงอมแงมเมื่อไม่กี่ปีก่อน
ด้วยวลียอดฮิตว่า เจ้าคือทายาทคนต่อไป นั้น ได้เกิดขึ้นเมื่อมี แม่ยิง (ผู้หญิง)สาวสวยคนหนึ่ง ขอสมมุติชื่อว่า “น.ส.ชนีกร” เรื่องก็มาจากการที่น.ส.ชนีกรเธอถูก แม่ผัว ใจร้ายตั้งข้อรั งเ กีย จเ ดี ย ด ฉั นท์ ด้วยข้อหาว่า ยา ก จ น กว่า
และกลัวว่าเธอจะไปแย่งความรักของลูกชายเธอมากกกอดเสียหมดคนเดียว อันจะเป็นเหตุให้ลูกชายสุดสวาทลืมรักแม่ไป…ฯลฯ(บ้าจังเลย หึงแม้กระทั่งลูกตัวเอง) คิดไปคิดมา แม่ผัวใจร้ายปานประหนึ่งคุณหญิงแม่ของคุณชายกลางแห่งบ้านทรายทอง(ภาคพิเศษ) เลยริอ่านเล่น ไสยศาสตร์ ให้ หมอผี ทางอ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ ทำ คุณ ไ ส ย ใส่ทั้ง ผัว. ทั้ง”ลูกชาย” และทั้ง น.ส.ชนีกร ”ลูกสะใภ้” (นอกกฏหมาย ไม่ได้จดทะเบียน)แบบครบวงจรเลยทีเดียว
ทำของใส่ ผัว เพื่อให้หลงอย่างไม่ลืมหูลืมตา ทำของใส่ ลูกชาย ก็เพื่อให้ สติเลอะเลือน จนรู้สึกเกลียดชังเมียตัวเองอย่างไม่ทราบสาเหตุ….” และทำของใส่”ลูกสะใภ้” หมายจะให้น.ส.ชะนีเสียผู้เสียคนจนเป็นบ้า หรือถึงแก่ชีวิตไปเลยทีเดียว…….. “โ ห ด เ ล ว ชั่ ว”ครบสูตรแม่ผัวตัวอย่างจริงๆ
และเรื่องของเรื่องที่ผู้เขียนจะต้องมาข้องแวะในวังวนแห่งโลกีย์และไสยเวทย์สายดําสนิท โดยที่มิรู้อิโหน่อิเหน่มาก่อนนั้น ก็เกิดจากผู้ใหญ่ท่านหนึ่งที่รู้จักกับน.ส.ชนีกรดี ได้ไหว้วานให้ผู้เขียน พาน.ส.ชนีกรไปหาพระช่วยรักษาคุณไสยนี้ที
ด้วยความเมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา และเพื่ออนุเคราะห์เพื่อนร่วมโลกด้วยกัน ผมก็เลยมีอันได้พาน.ส.ชนีกรนี้ไปกราบหาหลวงปู่หลวงพ่อเพื่อปัดรังควานรักษาเป็นหลายท่านหลายองค์ จนน.ส. ชนีกรเริ่มมีอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
แต่ในขณะเดียวกัน ตัวของ เนาว์ นรญาณ คนนี้ กลับมี เรื่องร้ายๆ เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างผิดปกติ ประเดี๋ยวเป็นโน่น ประเดี๋ยวเจ็บนี่
ทั้งหน้าตาก็แลดูหมองคล้ำดำมืดอย่างไรชอบกล ไม่มีสง่าราศีเอาเสียเลย ที่เจ็บปวดที่สุด ก็เห็นจะเป็นกรณีถูก “หมากัด”ที่เอ็นร้อยหวายเข้าอย่างจัง
ขณะที่ยืนดูคนให้อาหารสุนัขอยู่ดีๆแท้ๆ แม้จะไม่เข้าเต็มๆ แต่ก็ทำให้หนังถลอก เ ลื อ ดซิบๆ ต้องไปฉีดยากันโรคกลัวน้ำ (ปลอดภัยไว้ก่อน) เสียหลายเข็ม เจ็บระบมไปหลายวัน เฮ้อ..ทำไมถึงต้องเจ็บตัวอย่างนี้นะ ตั้งแต่ได้พาน.ส.ชนีกรไปรักษาคุณไสย ทำไมข้าพเจ้าจึงเจอแต่เรื่อง ซ ว ย งัก ถี่ปกตินักนะ งงจังเลย
และแล้ว น.ส.ชนีกรก็เป็นผู้เฉลยความนัยนั่นให้ฟังเองในเวลาต่อมาว่า
“หนูเอาเรื่องที่พี่เนาว์ถูกหมากัดไปเล่าให้น้องเณรที่มีญาณองค์หนึ่งที่อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอนฟัง ท่านก็เข้าสมาธิดูก็รู้ว่า ไอ้หมอผีทำของใส่หนูน่ะ มันทำคุณไสยกันท่าเผื่อเอาไว้ด้วยว่า ใครก็ตามที่คิดอ่านมาช่วยหนู ก็จะต้องมีอันเป็นไปตามกันด้วย
อย่างที่พี่เนาว์โดนหมากัดน่ะ ก็ไม่ใช่เป็นกรณีปกตินะคะ แต่เป็นการใช้ไสยศาสตร์พลังจิตไปบังคับหมาให้มากัดพี่เนาว์เป็นการเฉพาะ เหมือนอย่างที่คุณยายวรนาถในเรื่องทายาทอสูรทําอย่างไรก็อย่างนั้นเลยล่ะค่ะ
“อ้อ..เหรอ”ผมเออออก่อนที่จะนึกในใจว่า
“อิ๊บอ๋ายแล้ว….นี่กรูต้องมาเจอะเจอกับเรื่องพรรค์นี้กับเขาด้วยหรือนี่???”
และ“กรูไม่น่ามาช่วยเจ๊ชนีกรนี่เล้ยจริงๆให้ ต า ย สิ”
มีแต่เรื่องซ ว ย ซับ ซวยซ้อน และ ซ ว ยไม่มีที่สิ้นสุดเสียจริงๆ
กรรมของเวรแท้ๆ
และแล้ว วันที่ กรรมของเวร ของผู้เขียนจะสิ้นสุดลง เมื่อได้พาร่างอันหมองคล้ำไปกราบครูบาอิน ในวันหนึ่ง เหมือนท่านครูบาอินจะรู้แจ้งถึงการทั้งปวงดี ท่าน จึงเพ่งดูหน้าผมด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยตบะเดชะอันแรงกล้าที่แม้แต่คนเข้าวัดอย่างผม ก็ยังอดสะท้านด้วยความเกรงบารมีท่านไปมิได้
ก่อนที่จะได้หยิบเอานํ้ามันจันทน์มาเจิมกระหม่อมผู้เขียนอย่างตั้งใจ และในขณะนั้นนั่นเอง ก็มีผู้จับภาพตอนที่ครูบาอินกําลังลงกระหม่อมให้ผู้เขียนในตอนนั้นไว้ได้
และเมื่อล้างอัดออกมา ภาพที่น่า”สยองใจ” ก็ปรากฏขึ้นในทันใด เพราะปรากฏ”เงาดํา”แห่งไสยเวทย์มนต์ดําทายาทอสูรจาก น ร ก พุ่งออกจากบริเวณศรีษะและต้นแขนของผู้เขียน เห็นกันได้จะๆเต็มสองตา
ช่างน่าขนพองส ย อง เก ล้าเป็นนักแล้ว
หมายเหตุ, เคยสงสัยว่า อันพระเครื่องรางของดีๆ เราก็มีมากมาย แต่เหตุไฉนไสยศาสตร์ฝ่ายตํ่าจึงเข้ามาสิงสู่ในกายในใจแห่งเราได้ จนเมื่อได้ยินคำเฉลยจากหลวงพ่อพุธ ฐานิโย พระอริยปัญญาแห่งวัดป่าสาลวัน จึงได้เข้าใจ
โดยท่านบอกว่า “อันพระเครื่องรางนั้น แม้จะดีอย่างไร ก็ยังเป็นของภายนอกอยู่ แต่หากจะให้กันคุณไสยมนต์ดำได้จริงๆ คนๆนั้นต้องไหว้พระสวดมนต์แผ่เมตตาเป็นนิตย์ จึงจะป้องกันได้”( จำได้ว่า ตอนนั้น ผมขี้เกียจสวดมนต์มาก และก็ไม่ได้ห้อยพระตลอด 24 ชั่วโมงด้วย ของเลยมีช่องเข้าตัวได้ให้ซวยสนิทไปหลายรอบด้วยประการฉะนี้)
ช่างนับเป็นบุญและวาสนาแท้ๆ ที่ยังมีโอกาสได้เจอกับ”พระดีและเก่ง”แบบสุดๆเยี่ยงหลวงปู่ครูบาอิน มาช่วยขับไล่ มนตราทายาทอสูร ให้เห็นกันจะๆเห็นปานนี้ หาไม่ ผมจะต้อง มีอั น เป็ นไป ในลักษณาการเช่นไหนอีก ก็สุดที่จะคาดเดาได้แล้วจริงๆ โอย………ไม่อยากจะคิดเลย
พระเดชพระคุณและความเก่งกล้าสามารถของหลวงปู่ครูบาอินนั้น จึงติดตราตรึงในท่ามกลางดวงใจของผมอย่างไม่มีวันจะจางคลายไปได้นับแต่บัดนั้น แม้หลวงปู่วรวุฒิคุณท่านจะได้”ละสังขาร”สู่บรมสุขไปแล้วก็ตาม
ปัจจุบัน สรีรขันธ์ที่ท่านทิ้งไว้คู่กับโลก เมื่ออายุได้ 101 ปี ก็ยังคงนอนนิ่งสงบอย่างสง่าภายในโลงแก้วที่วัดคันธาวาส(ทุ่งปุย) กิ่งอ.ดอยหล่อ จ.เชียงใหม่ เหมือนหนึ่งท่านเพียงแค่ จำวัด หลับไปเท่านั้น
วันม ร ณ ภาพเป็นอย่างใด ในวันนี้สรีระแห่งท่านก็ยังคงเป็นอย่างนั้น ต่างไปเพียงแค่มีการ”ปิดทอง”จนเหลืออร่ามตามประเพณีล้านนาแต่เพียงอย่างเดียว
และที่นั้น ก็ยังมี วัตถุมงคล ที่หลวงปู่ครูบาอินท่านเสกทิ้งทวนไว้อย่างดีที่สุด ตกค้างอยู่เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นพระสมเด็จไจยะเบงชร เหรียญยืนรุ่นแรก ,ประคำ,ตะกรุด,ผ้ายันต์ฯลฯ