สวัสดีครับวันนี้ทีมงานนำเสนอเรื่องเล่าของพระครูธรรมานุกูล หรือ หลวงปู่ภู จันทเกสโร วัดอินทรวิหาร กรุงเทพ สุดยอดพระเกจิพุทธาคมเข้มขลังรูปหนึ่ง โดยวัตถุมงคลของท่านที่มีชื่อเสียงอย่างมาก เช่น ไม้เท้าพ่อครู พระพิมพ์สมเด็จต่างๆ ท่านคืออดีตเจ้าอาวาสวัดอินทรวิหาร ผู้สานต่อการสร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯคือ “หลวงพ่อโต” เราไปติดตามกันได้เลย
โดยผู้เล่านี้คือคุณตาทองดำ คชเสนี ท่านเห็นมาด้วยตาตนเองคือเมื่อปี พ.ศ.2460 ในตอนเช้าๆหลวงปู่ภูท่านก็จะออกกำลังด้วยการใช้ไม้กวาดด้ามยาวปัดกวาดลานหน้ากุฏิ และพื้นที่ใกล้เคียง แต่คุณตาทองดำสังเกตเห็นว่าหลวงปู่ภูหยุดกวาด แล้วมองไปซ้ายทีขวาที จึงเดินกวาดต่อไปอย่างเงียบๆ
ทันใดนั้นเองท่านก็หยุดกวาดแล้วยกปลายไม้กวาดด้ามยาวขึ้นปัดในอากาศไปๆมาๆ ตอนแรกก็ปัดอากาศเปล่าๆ ท่านได้ทำซ้ำอีกครั้งหนึ่ง ได้ยินเสียงดังเปรี้ยงติดตามมา แล้วหลวงปู่ภูก้มลงกวาดพื้นต่อไปอย่างเงียบๆ คราวนี้มีเสียงหวีดดังแหวกอากาศมา หลวงปู่ภูท่านจึงยืนหยัดเท้ามั่นอยู่กับพื้น แล้วใช้สองมือยกได้กวาดด้ามยาวขึ้นเหมือนจะหวด ได้โดนอะไรสักอย่างแบบเต็มแรง ท่านจึงถอยหลังสองก้าว ก่อนที่จะมีเสียงดังติดมาอีก ครั้งนี้เสียงชัดมากดังเปรี๊ยะ พึ่บ ตึง
เสียงเปรี๊ยะเป็นเสียงที่ด้ามไม้กวาดด้ามยาวกระทบกับของในอากาศ(ต่อมาคุณตาทองดำได้ดูปรากฏว่าด้ามไม้กวาดแตกออกเป็น 2 เสี่ยง) เสียงพึ่บ เป็นเสียงคล้ายอะไรสักอย่าง ถูกแรงตวัดตอบกระเด็นไปทางกุฏิ ส่วนเสียงตึง เป็นเสียงของหนักตกลงกระทบพื้นชานหน้ากุฏิหลวงปู่ภู
คุณตาทองดำได้ยินเสียงหลวงปู่ภูร้องเรียก จึงละจากการรดน้ำต้นไม้หน้ากุฏิมาหาหลวงปู่ภู
“มันส่งเนื้อวัดสดๆ มาให้กู แต่กูตีมันกระเด็นไปบนชานกุฏิกูแล้ว มึงขึ้นขึ้นไปรอกูก่อน เดี๋ยวกูจะตามขึ้นไป อย่าไปยุ่งกับเนื้อนั่น ไม่งั้นก็ช่วยไม่ได้”
คุณตาทองดำขึ้นไปรอหลวงปู่ภูบนกุฏิ ครู่หนึ่งหลวงปู่ภูก็ขึ้นมา ท่านเดินอ้อมก้อนเนื้อขนาดใหญ่น้ำหนักไม่ต่ำกว่า 5 กิโลกรัม สีแดงสด เลือดยังเลอะพื้นกระดาน ท่านไปตักน้ำมนต์หน้าทีู่บูชาของท่านมา 1 จอก แล้วภาวนาคาถาเสกน้ำมนต์ครู่หนึ่ง เทลงไปยังก้อนเนื้อปรากฏว่ามีควันสีเขียวลอยขึ้นมาแล้วหายไป
“เอ้า พวกมึงเอาไปทำอะไรกินกัน เนื้อสันเปื่อยๆ มันส่งมาเป็นของขวัญพวกมึงไงล่ะ”..
ผ่านไปสามวันต่อมา ขณะเดียวกันที่หลวงปู่ภูกำลังกวาดลานวันตอนเช้าเหมือนทุกๆวัน ก็มีแขกแปลกหน้าเข้ามาพบท่าน ลักษณะการแต่งตัวเป็นแขกจริงๆ นุ่งโสร่ง มีหมวกสวมศรีษะ มาด้วยกัน 3 คน มาถึงก็มายืนต่อหน้าหลวงปู่ภูในมือมีถาดใส่ผลไม้มาด้วย
“พวกเรามาถวายผลไม้กับท่าน ท่านเก่งจริงๆ สามารถสกัดวิชาของพวกเราได้ แล้วยังมีเมตตาไม่ส่งกลับ พวกเรานับถือท่าน”
หลวงปู่ภูจึงถามแขกแปลกหน้าว่า “แล้วหลักศาสนาเขาไม่ถือหรือ? ที่เอาของมาให้คนนอกศาสนาอย่างนี้”
แขก 3 คนที่มาได้ตอบว่า “ไม่ผิดหรอก เพราะเราไม่ได้ยกมือไหว้ท่าน เราไม่ได้นับถือศาสนาท่าน แต่เราถวายท่านเป็นการส่วนตัว อย่างนี้ไม่ผิดหลักศาสนา”
ชายแขกแปลกหน้าทั้้ง 3 คนบอกกับหลวงปู่ภู่ว่า มีผู้ว่าจ้างให้ทำของใส่ผู้คน แต่หลายคนรายมาพึ่งใบบุญให้หลวงปู่ภูช่วย จนของร้ายออกจากตัว เลยทำให้พวกตนขาดรายได้ จึงคิดร่วมกันเสกของมาทำร้ายหลวงปู่ภู แต่ก็ถูกแก้ได้อีก และหากหลวงปู่ภู่ส่งของกลับมาให้พวกตนอาจจะไม่มีชีวิตอยู่ก็เป็นได้ แต่ท่านก็มิไม่ทำ ด้วยเพราะท่านมีเมตตา แขกทั้งสามน้อมรับและสำนึกผิดในการกระทำ
สรุปได้ว่าหลวงปู่ภู วัดอินทรวิหาร บางขุนพรหม กรุงเทพฯ ท่านเป็นพระเกจิผู้มากด้วยพุทธาคมเข้มขลัง คุณไสยมนต์ดำมิอาจทำอันใดได้ ด้วยเหตุนี้เอง ท่านจึงเป็นพระเกจิเคร่งในด้านสมถะและวิปัสสนากัมมัฏฐาน ท่านปฏิบัติมาโดยตลอด เรียกได้ว่า นั่งจนก้นด้าน อีกทั้งในการบำเพ็ญปฏิบัติของท่านจะเริ่มขึ้นหลังจากฉันจังหัน(เป็นคำโบราณความหมายเดียวกันกับภัตตาหาร) คือ เวลา 7 โมงเช้า โดยตลอดชีวิตจะฉันเพียงมื้อเดียว ผลไม้ที่ขาดไม่ได้คือ กล้วยน้ำว้า ท่านบอกว่าเป็นโสมเมืองไทย